Print

ธนาคารความสุข - ฉบับที่ ๑๔๕

eddy_coverอาหารใจ

โดย aston27
aston2

bank-145

(ภาพประกอบจากความใจดีของคุณแป๋ว SevenDaffodils ครับ)

นักโภชนาการฝรั่งเขามีคำพูดว่า “We are what we eat”
อย่าไปแปลเป็นภาษาไทยยวนกวนประสาทตามสไตล์คุณแอสตันนะ
ไม่งั้นคำแปลจะออกมาว่า “เรา เป็น อะไร เรา กิน”

บางคนอ่านถึงบรรทัดนี้แล้วอาจถึงกับอุทานว่า
เรื่องนี้ต้องถึงหูครูอังคณาแน่ !

บางคนไปแปลได้เมามันยิ่งกว่าผมอีกว่า
“เราเป็นในสิ่งที่เรากิน”
ถ้าเป็นแบบนั้นจริง มนุษย์เราคงเป็นสิ่งมีชีวิตที่ประหลาดมาก
เพราะเป็นครึ่งคน ครึ่งหมู ครึ่งไก่ ครึ่งไข่ ครึ่งผัก ครึ่งปลาไหล ครึ่งปลาหมึก ^^

ความจริงฝรั่งเขาหมายถึงว่า
เราเลือกกินอาหารแบบไหน ร่างกายก็จะแสดงผลออกมาอย่างนั้น
ถ้ากินอาหารดีมีประโยชน์ สุขภาพก็จะดี
กินอาหารไม่มีประโยชน์ สุขภาพก็จะแย่
แต่ไม่ได้บอกว่าถ้ากินแย้แล้วไซร้ สุขภาพจะเป็นยังไงนะ

อย่างที่เรารู้กันว่า ชีวิตคนเรามันประกอบด้วยสองส่วน
ร่างกายส่วนหนึ่ง จิตใจก็อีกส่วน

ตอนเด็กๆเรารู้มาจากครูสุขศึกษา ที่จำไม่ได้ว่าชื่อครูอะไร...ว่า
ร่างกายต้องการอาหารหลักห้าหมู่
แต่อาจไม่รู้ว่าจิตใจ เขาก็ต้องการอาหารเหมือนกัน
ถ้าร่างกายทานอาหารอะไร แล้วรับผลเป็นอย่างนั้น
จิตใจก็ไม่ต่างกันครับ
เราป้อนอะไรให้เขาทาน จิตใจก็จะเป็นไปอย่างนั้นด้วย

อาหารของจิตที่เขาทานตลอดเวลามีชื่อว่า “อารมณ์”
ในภาษาพระท่านจะใช้คำว่า “จิตเสวยอารมณ์”
อารมณ์ก็มีทั้งอารมณ์ดี อารมณ์เสีย อารมณ์เฉยๆ
มีอารมณ์ที่เป็นกุศล อารมณ์ที่เป็นอกุศล และที่กลางๆ

จะว่าไป เลือกอาหารให้ร่างกายเลือกง่ายกว่านะ
เพราอาหารทางใจบางทีเราไม่ค่อยรู้ทันใจตัวเอง

อย่างตอนแรกไปอ่านบทบ.ก.ของคุณดังตฤณ
นั่นเป็นผัสสะทางตาที่ดี อ่านแล้วจิตก็ปรุงดี
พอมาอ่านธนาคารความสุขของนายแอสตัน
มันเขียนอะไรก็ไม่รู้ อ่านแล้วงง จิตก็ปรุงโทสะ เป็นต้น

จิตปรุงอารมณ์ต่างๆ เองแล้วก็กินเอง กินจนอ้วน แต่ไม่เคยอิ่ม
เคยนั่งอยู่คนเดียว ไม่มีใครมายุ่งมาทำอะไร
แล้วก็ขุดเรื่องกิ๊กเก่าๆ สมัยทวาราวดีขึ้นมาดราม่าตัวเองไหม

นั่นแหละ ถ้าปล่อยให้จิตเสวยอารมณ์ไปแบบไม่ทำอะไร
จิตก็มักจะเจียะป๊าบ่อสื่อ หาเรื่องใส่ตัวแบบนั้นเอง

จะเลือกอาหารที่ดีให้จิต ก็ต้องทำเหตุที่ดี
ไม่ต้องทำอะไรพิสดารเลยครับ แค่มีสติ รู้สึกตัว
รู้ทันจิตที่คิด จิตที่ปรุงแต่ง แสวงหา แค่รู้นะ ไม่ต้องห้าม

ที่เหลือก็คบหาสนทนากับคนที่มีสัมมาทิฐิ ฟังเทศน์ฟังธรรม
อย่าคบคนพาล คบบัณฑิต พระพุทธองค์สอนไว้ จำได้ใช่ไหม
ไหว้พระ สวดมนต์ ทำสมาธิ อ่านหนังสือธรรมะ เจริญเมตตา
เหล่านี้ก็เป็นเหตุที่ดี เป็นอาหารที่ดีของจิตนะ

บางคนบอกว่า แบบนี้จิตก็เป็นภาระสิ เหมือนต้องคอยเลี้ยงมัน
ปล่อยทิ้งเลยได้มั้ยจะได้ไม่ต้องเป็นภาระ

ตอบว่า ถ้าทำได้ก็ดีสิครับ แต่เอาเข้าจริงๆ
ถามว่าแล้วใครจะเป็นคนปล่อยทิ้งจิต ...ก็เรา
ในเมื่อยังมีความรู้สึกว่าเป็นเรา ก็ปล่อยไม่ได้จริงหรอกครับ
ต้องทำเหตุให้จิตเขามีปัญญา
จนจิตเขาปล่อยเขาวางของเขาเอง

เมื่อไหร่ ก็เมื่อนั้นนะ อย่าใจร้อน ครูบาอาจารย์ท่านสอนไว้

สุขสันต์วันที่ยังเลือกได้ว่าจะกินอะไรนะครับ