Print

ธนาคารความสุข - ฉบับที่ ๑๑๗

Unknown: เรื่องลึกที่ไม่ลับ

astonโดย aston27





(บทความนี้มีเนื้อหาที่เปิดเผยปมสำคัญของภาพยนตร์ที่จะพูดถึงนะครับ)

ผมไม่ค่อยได้เขียนถึงภาพยนตร์มาระยะหนึ่งแล้ว
ส่วนหนึ่งเพราะเวลาเขียน ผมมักหยิบเอาปมสำคัญของหนังมาพูด
ซึ่งเท่ากับเป็นการเฉลยส่วนที่ส่วนไว้ บางคนบอกว่าทำให้เวลาไปดูจะไม่สนุก
ครั้นจะไม่พูดถึงมุมนั้น ก็เขียนได้ไม่สนุกเช่นกัน เหมือนต้องกั๊กๆ ไว้
ครั้นจะรอให้หนังออกจากโรง ก็นานจนผมลืมไปแล้ว ว่าอยากพูดถึงอะไร

เอาเป็นว่าถ้าผมเขียนถึงหนังเรื่องไหน แล้วมีส่วนที่จะต้องเฉลย
ก็จะขึ้นคำเตือนไว้ก่อน อย่างวันนี้

Unknown เป็นเรื่องของชายอเมริกันคนหนึ่งที่เดินทางไปเบอร์ลิน
แล้วรถแท็กซี่ที่เขานั่งเกิดอุบัติเหตุตกลงไปในน้ำ
เขานอนสลบอยู่สามสี่วันถึงฟื้นขึ้นมาแบบจำอะไรมากไม่ได้
นอกจากว่าเขาชื่อ ดร.มาร์ติน แฮร์ริส เดินทางมากับภรรยาชื่อลิซ
ที่เหลือก็แทบจำอะไรไม่ได้ จึงต้องเริ่มต้นด้วยการกลับไปหาภรรยา
แล้วก็พบว่า มีคนสวมรอยเป็นดร.มาร์ติน แฮร์ริสไปแล้ว
กระทั่งภรรยาเอง ก็ยังบอกว่าไม่รู้จักว่าเขาคือใคร แล้วเรื่องก็ดำเนินต่อจากนั้น

หนังสนุกมากนะครับ กับการค้นหาปริศนาว่าทำไมเขาถึงถูกสวมชื่อ
ทำไมต้องมีใครอยากเป็นเขา แล้วจริงๆเขาคือใคร

จุดหักมุมที่ดูแล้วแทบตกเก้าอี้คือ การได้รู้ความจริงว่าไม่มีใครสวมรอยเขา
เพราะกระทั่ง ดร.มาร์ติน แฮร์ริส ก็เป็นชื่อที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อแผนการลับ
พูดซื่อๆ ว่า ดร.มาร์ติน แฮร์ริส ไม่ได้มีตัวตนอยู่จริง เป็นบุคคลสมมติ
คล้ายๆ เจสัน บอร์น น่ะครับ ถ้าใครเคยดูหนังที่ Matt Damon แสดงในเรื่องนั้น

แต่แผนการลับที่ว่าคืออะไร แล้วเขาจะทำยังไงต่อในความลับที่ค้นพบ
อันนี้ผมไม่บอก เพราะไว้ให้คุณรอดีวีดีออกมาแล้วไปหาดูเอง
(คำเตือน: กรุณาซื้อแผ่นลิขสิทธิ์ ถ้าไม่อยากผิดศีลนะครับ)

ที่ผมชอบหนังเรื่องนี้แล้วอยากเอามาพูดถึง ก็เพราะ
การเจริญสติวิปัสสนา ก็เป็นการค้นหาความจริงของตัวตนเช่นกัน
มันเป็นการทำความรู้จักตัวเอง ค้นหาความจริงว่า ตกลงอะไรคือ "เรา"
เพียงเพื่อจะพบในวันหนึ่งว่า แท้จริงแล้ว ตัวตนไม่เคยมีอยู่

สิ่งที่เรารู้สึกว่าเป็นตัวตนของเรา ว่านี่คือแอสตัน นี่คือเอ๊ด นี่คือพิทยากร
นั่นคือมาร์ติน นั่นคือลิซ โน่นคือเคน นู่นคือโดม แท้จริงมันถูกสมมติเอา

ปัญหาไม่ได้อยู่ที่การมีสมมติ แต่ปัญหาคือการไม่รู้ทันว่ามันเป็นของสมมติ
แล้วยึดมั่นสำคัญผิด ว่ามันเป็นตัวเป็นตนของเราจริงๆ
มีตัวเรา แล้วก็มีของเราตามมา แล้วที่ตามมาก็คือทุกข์ของเรา

เรื่องนี้อาจฟังดูลึก แต่ว่าไม่ลับหรอกนะครับ
เพราะพระพุทธเจ้าท่านเฉลยคำตอบไว้ให้ตั้งแต่สองพันกว่าปีมาแล้ว
ท่านพูดชัดเจนว่า ตัวตนนั้นไม่เคยมีในอดีต ไม่มีในปัจจุบัน ไม่มีในอนาคต
ไม่มีตัวตนในกายนี้ นอกกายนี้ก็ไม่มี มีแต่ความยึดมั่นสำคัญผิดว่ามีอยู่

แล้วท่านไม่ได้บอกว่าชาวพุทธต้องเชื่อนะ ท่านให้เรียนให้รู้แจ้งด้วยตัวเอง
ใครอยากรู้ว่าจริงไหม ให้น้อมเข้ามารู้อยู่ในกายในใจ แล้วจะรู้ได้ด้วยตัวเอง ท่านว่าอย่างนั้น

เจริญสติไว้ รู้กายรู้ใจ ตามที่มันเป็นจริงใหม่ๆ สดๆ เอาชนิดตดยังไม่ทันหายเหม็นนี่แหละ
ตามองเห็นรูป รู้ทัน
หูได้ยินเสียง รู้ทัน
จมูกได้กลิ่น รู้ทัน
ลิ้นได้รส รู้ทัน
กายสัมผัส รู้ทัน

ถามว่ารู้ทันอะไร.. บางคนคิดว่ารู้ทัน เช่น ลิ้นได้รสหวาน รู้ว่าหวาน
อันนั้นสำนวนหลวงพ่อปราโมทย์ท่านว่า หมาแมวมันก็รู้ ไม่ต้องเจริญสติก็รู้
แต่ที่ว่าให้รู้ทัน คือรู้ทันใจที่มีปฏิกิริยาต่อรสนั้น

ลิ้นได้รสหวาน แล้วชอบ รู้ว่าใจชอบ หรือไม่ชอบ รู้ว่าใจไม่ชอบ
เฉยๆ รู้ว่าใจมันเฉยๆ เห็นกายทำงาน ใจทำงานได้เอง อะไรก็ได้นะ
ไม่ได้กำหนด บังคับ ตีกรอบว่า ต้องมีเฉพาะความรู้สึกบวก
บวก ก็รู้ ลบ ก็รู้ เฉยๆ ก็รู้ เพราะเราต้องการรู้ความจริงสิ่งที่เป็นธรรมชาตินะ

ถามว่า รู้แบบนั้นแล้วได้อะไร
ตอบว่า... ถ้ากายทำงานเอง ใจทำงานได้เอง ไม่ใช่เราสั่ง
ก็คือเห็นความจริงแล้วทีละนิด ว่ามันไม่มีตัวเราอยู่ อันนี้เรียกว่าอนัตตา

เช่น เอาน้ำตาลใส่ปาก เราไม่ต้องสั่ง ลิ้นก็รับรสเอง ส่งคลื่นไปที่สมองเอง
แปลความหมายให้ค่าเสร็จสรรพว่า "หวาน" แล้วใจปรุงต่อว่า "อร่อย..ชอบ"
กระบวนการนี้เริ่มต้น จบลงได้โดยไม่มี "เรา" อยู่ในนั้นเลย
จะมีก็แต่ "เรา" ในฐานะเป็นคนคอยตามรู้ ตามดู เท่านั้น

ผมแจกแจงให้ละเอียดหน่อย เพราะถือว่าหลายท่านตามอ่านมานานแล้ว
น่าจะเริ่มคุ้นกับสิ่งที่นำเสนอมาพอสมควร แต่ยืนยันว่าอาจจะลึกแต่ไม่ลับนะ

คุณจะมีโอกาสได้ดูหนัง Unknown หรือไม่ ไม่สำคัญหรอกครับ
ถ้ามีโอกาสก็ดู ไม่มีก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าไม่ได้ดูกายดูใจตัวเองนี่สิ
เสียดายโอกาสจริงเลยเชียว

สุขสันต์วันที่ยังมีโอกาสอยู่ก็แล้วกันนะครับ