Print

ธนาคารความสุข - ฉบับที่ ๑๐๘

พ่อครัวหัวป่าก์

aston2โดย aston27



bank_108_01
(ภาพประกอบที่งามด้วยฝีมือ ด้วยความเอื้อเฟื้อของคุณ SevenDaffodils)

สมัยเด็กๆ ผมเคยสงสัยว่า ทำไมต้องเรียกพ่อครัวหัวป่าก์
แล้วทำไมป่าก์ ต้องมี ก ไก่ การันต์

เพิ่งมารู้ทีหลังว่า ป่าก์ มาจากภาษาบาลีว่า ปากะ หมายถึงการทำอาหารการกิน

ช่วงนี้ผมมีโอกาสได้เข้าครัวฝึกทำอาหารบ่อยๆ ครับ

ผู้ชายสมัยนี้ ถ้าหวังพึ่งฝีมือทำครัวจากสาวๆ เห็นจะต้องนอนหาวไปก่อน
ใช่ว่าจะดูแคลนกันนะครับ แต่ต้องยอมรับว่า ยุคสมัยมันเปลี่ยนไป

สาวๆ รุ่นนี้ เขาไม่ค่อยได้เรียนเรื่องการบ้านการเรือนเหมือนยุคพ่อแม่เรา
จะให้เขามาแสดงเสน่ห์ปลายจวัก อาจจะได้ตักแต่อากาศใส่ท้อง

อีกอย่าง มีคนเคยบอกว่าเทียบกันปอนด์ต่อปอนด์ รุ่นต่อรุ่น
ผู้ชายมักจะทำอาหารอร่อยกว่าคุณผู้หญิง ทีแรกผมไม่ค่อยเชื่อ
แต่เขาบอกว่า ลองดูสิว่าพวกเชฟใหญ่ตามโรงแรม ส่วนมากมีแต่ผู้ชายนะ

เออ... จริงของเขาแฮะ

เท่าที่ลองทำมา ผมบอกได้ว่าผมชอบทำอาหารนะ
เริ่มจากทำแกงจืดได้ต้มโคล้ง ทำพะโล้ได้ต้มเปรต
ทำอาหารฝรั่งเศสได้อาหารอีสาน เหมือนๆ หลายคนตอนหัดทำนั่นแหละ

หลังจากลองผิดลองถูกมาหลายครั้ง ผมเริ่มเรียนรู้จากบทเรียน
หาอ่านเอาในเว็บบ้าง แอบไปยืนดูเขาทำตามร้านต่างๆ บ้าง
ว่าอาหารจานไหนต้องใช้เครื่องปรุงอะไร ใส่อะไรก่อนหลัง
แล้วมาลองทำเองดู

จะว่ายากก็ยาก จะว่าง่ายก็ง่ายนะ
เพราะอาหารแต่ละจาน มันมี "กุญแจ" สู่ความอร่อยของมัน
ตั้งแต่วัตถุดิบ เช่นจะทำหมูทอดก็ต้องเลือกนะ
ว่าจะเอาเนื้อส่วนไหนของหมูมาทำ สะโพก สันนอก สันใน หรือสันคอ

ไหนจะต้องรู้วิธีหมัก เครื่องปรุงเพื่อหมัก ระยะเวลาหมัก
จะต้องใช้น้ำมันรำข้าว หรือน้ำมันปาล์ม ไฟแรงแค่ไหน
ใช้เวลาเท่าไหร่ ถึงจะสุกกรอบนอกนุ่มใน

จากที่เป็นพ่อครัวหลงป่า ก็เริ่มเห็นแววพ่อครัวหัวป่าก์บ้างแล้ว
บางวันฟอร์มดีเข้าฝัก แทบจะนึกขอดวลกับเจมี่ โอลิเวอร์ กันเลยทีเดียว

อันนี้พูดขำๆ นะครับ ขืนเขามาดวลจริง
ผมคงต้องท้าตำส้มตำยกครกกันเท่านั้นเอง

แต่โลกนี้ ของมีค่าไม่มีฟรี ของดีไม่มีฟลุก
ทุกอย่างย่อมเกิดเพราะมีเหตุของมัน
เพื่อทำเหตุให้อาหารมันอร่อย มันก็ต้องรู้จักสังเกต เรียนรู้ว่า
อะไรคือเหตุที่ทำให้อาหารจานนั้นมันอร่อย แล้วลงมือทำ

ถ้าเปรียบชีวิตคนเราเป็นโต๊ะอาหาร
เราทุกคนย่อมเป็นพ่อครัวของชีวิตตัวเอง

ว่าจะเลือกปรุงไข่เจียว ผัดเปรี้ยวหวาน อาหารไหหลำ
ยำสามเผ็ด เป็ดกวางโจว หมั่นโถวกวางเก้งอะไรก็แล้วแต่
จะมีใครมากำหนดเมนูให้เรา หรือเรากำหนดเอง ก็ขึ้นกับเราอีก

อาหารบนโต๊ะชีวิตของเรา จะอร่อยหรือกร่อยลิ้นแทบสิ้นใจ
มันก็เป็นไปตามเหตุแลปัจจัย ไม่ใช่เพราะเราสั่งให้มันอร่อยได้

เราสั่งให้อาหารมันสุกเองก็ไม่ได้ อร่อยเองก็ไม่ได้
แต่เราทำเหตุให้มันสุก ให้มันอร่อยได้

ฉันใดฉันนั้น
ถ้าอยากให้อาหารบนโต๊ะแห่งชีวิตมัน "สุข" ก็ต้องรู้นะครับ
ว่าส่วนผสมอะไร วัตถุดิบแบบไหน ปรุงด้วยวิธีไหน จะให้ความสุข

เช่น ถ้ารู้จักทำทาน ใช้ชีวิตอยู่ในศีล ๕ มีสติ เมตตา ภาวนา
ก็ไม่ยากนักที่จะมีความสุขได้ในชีวิตนี้

แต่ถ้ามุ่งหวังจะได้มรรคผลนิพพาน ก็ต้องภาวนากันจริงๆ จังอีกระดับ
กายขยับ ใจรับรู้ ใจเขยื้อน ใจเคลื่อนไป ใจก็รับรู้
ต้องทำในรูปแบบ แบ่งเวลาไหว้พระ สวดมนต์ เดินจงกรม นั่งสมาธิบ่อยๆ

จะไปคอยให้มีวันหยุดนักขัตฤกษ์ติดกัน ๗ วัน แล้วค่อยไปภาวนาที่วัด
อันนั้นเห็นจะไม่ทันรับประทาน คนที่ได้รับประทานเรา ก็คือกิเลส

โลกนี้เป็นไปเพราะเหตุ อยากทานกล้วยก็ต้องปลูกกล้วย
อยากทานทุเรียนก็ปลูกทุเรียน อยากมีความสุข ก็ต้องสร้างเหตุแห่งสุข
ไม่ใช่ทำแต่บาปอกุศล ทำเหตุแห่งทุกข์ร้อน
แล้วมาบ่นว่าทำไมไม่เจอความสุขสักที

สำหรับอาหารจริงๆ ถ้าจะรอพึ่งอาหารถุง ก็ไม่ว่ากัน
แต่อาหารสำหรับชีวิตคือบุญกุศล ไม่มีใส่ถุงขายนะ

เคยเห็นท้ายรถแท็กซี่ สองแถว เขาติดคำขวัญว่า
"ความดีไม่มีขาย อยากได้ต้องทำเอง"

จริงของเขานะ...

สุขสันต์วันที่ยังหายใจเข้า หลังจากหายใจออกครับ