Print

ธนาคารความสุข - ฉบับที่ ๙๗

เครื่องบินหลากสี

aston2โดย aston27



97_bank_01

ผมได้รับโอกาสให้ไปพูดในงาน Ignite Thailand เมื่อไม่นานมานี้เองครับ

แนวคิดของงานครั้งนี้ เขาเน้นเรื่องความคิดบวก ผมนั่งนึกอยู่นานหลายวัน ว่าจะพูดอะไร นึกวนไปเรื่องโน้น กระโดดมาเรื่องนี้ ก็ยังไม่ลงตัวสักที

แต่จู่ๆ ก็ได้รับ Fwd mail จากพี่สาวผมฉบับหนึ่ง เป็น Fwd mail ที่เคยได้รับครั้งหนึ่งเมื่อนานมาแล้ว เป็นภาพของเครื่องบินของสายการบินต่างๆ ที่ผมรู้จักบ้าง ไม่รู้จักบ้าง เคยขึ้นบ้าง ไม่เคยบ้าง

ครั้งนี้ผมมองดูรูปเครื่องบินหลากสี หลายลวดลายเหล่านี้ ด้วยมุมมองที่ต่างออกไป และมีความคิดบางอย่างถูกจุดประกายขึ้น ถ้าลองสังเกตให้ดี ก็อาจเห็นบางสิ่งที่ซ่อนอยู่ภายใต้สีสันลวดลายที่สวยงามของเครื่องบินเหล่านี้

ความจริงอย่างแรกที่ผมเห็นคือ เครื่องบินนั้นแรกเริ่มเดิมที มันไม่ได้มีสีสันอะไรหรอกครับ มันก็เป็นเหล็กเปลือยๆ เหมือนๆ กัน สีสันที่มันมี ล้วนแต่ถูกปรุงแต่งขึ้นตามจินตนาการและความต้องการของมนุษย์

ว่าโดยย่อ มนุษย์คือผู้สร้างอัตตาตัวตนของเครื่องบิน เหมือนที่มนุษย์ทำกับตัวเอง

97_bank_02

ความจริงต่อมาที่ผมเห็นคือ ตอนเกิดมา เครื่องบินเขาไม่ได้เลือกหรอกนะครับ ว่าเขาจะเกิดมาเพื่อทำอะไร ไม่ได้บอกว่าจะมาเพื่อทำลายเป็นเครื่องบินโจมตี ทิ้งระเบิด หรือเพื่อสรรค์สร้างสิ่งที่ดีให้กับโลก เช่น บินผาดโผน สร้างความบันเทิงให้ผู้คน หรือขนส่งสิ่งของบรรเทาทุกข์ให้กับผู้คนที่ประสบเหตุเภทภัยต่างๆ

97_bank_03

ทั้งหมด ล้วนแต่เป็นภารกิจ ที่ถูกกำหนดโดยมนุษย์ ผมเปรียบว่า มนุษย์เป็นคนสร้างตัวตนให้เครื่องบินแต่ละลำ และใช้เครื่องบินสร้างกรรมใหม่ขึ้นมา เหมือนที่มนุษย์สร้างตัวตนหรือเปลือกของตัวเองขึ้นมาและสร้างกรรมให้ชีวิตตัวเอง

ผมนึกสนุกต่อไปว่า สมมติเครื่องบินลำหนึ่งเป็นเสมือนชีวิตของบุคคลหนึ่ง หรือกลุ่มหนึ่งในสังคม มันก็น่าสนใจนะครับว่า เครื่องบินลำหนึ่งจะสามารถบินไปสู่จุดสูงสุดได้ที่ตรงไหน

ภายใต้อัตภาพของความเป็นมนุษย์ Abraham Maslow เคยนำเสนอแนวคิดทฤษฎีว่าด้วยลำดับขั้นความต้องการของมนุษย์ ไว้ในรูปของพีระมิด ตั้งแต่ขั้นพื้นฐานไปจนถึงขั้นสูงสุด

97_bank_04

มาสโลว์เรียกยอดสุดของพีระมิดว่า Self Actualization หรือการตระหนักรู้ถึงความจริง ว่าด้วยตัวตนของเราเอง ผมสรุปซื่อๆ ว่า มาสโลว์กำลังบอกว่า คนเราจะมีความสุขอย่างแท้จริง ก็ต่อเมื่อเราได้รู้จักตัวตนที่แท้จริงของเรานั่นแหละ

สิ่งที่มาสโลว์นำเสนอไม่ใช่ของใหม่แต่อย่างใด เพราะ ๒,๕๐๐ กว่าปีก่อน พระพุทธเจ้าเคยสอนวิธีการเรียนรู้ความจริงว่าด้วยตัวตนของมนุษย์ไว้ในมหาสติปัฏฐานสูตร บอกขั้นตอน วิธีการและผลลัพธ์ไว้เสร็จสรรพ ที่เรารู้จักกันในชื่อว่า "วิปัสสนา"

นิยามที่แท้จริงของวิปัสสนา ซึ่งยังเป็นที่เข้าใจคลาดเคลื่อนอยู่มาก ว่าโดยย่อก็คือ การพัฒนาสติให้เจริญขึ้น จนสามารถเห็นความจริงของกายและใจ เห็นว่าความเป็นตัวตนที่แท้จริงไม่มี ที่มีอยู่เป็นแค่เปลือก เป็นสิ่งที่เราสร้างขึ้นมาด้วยความคิด อีกทั้งยังไม่เที่ยง ไม่ทนอีกต่างหาก

วิธีที่เราจำแนก แยกแยะ แจกแจง ตัวตนของมนุษย์ออกเป็นส่วนๆ เพื่อทำลายความหลงผิดว่ามีตัวตน เรียกว่า วิภัชชวิธี เพื่อให้เห็นภาพผมจะใช้วิธีจำแนก แยกแยะ แจกแจง สิ่งที่เราเชื่อว่านี่คือเครื่องบิน

เราจะเริ่มด้วยการสมมติว่า ถ้าเราถอดเครื่องบินออกเป็นส่วนๆ อย่างที่เห็นในภาพต่อไปนี้ เราจะเห็นอะไรครับ

97_bank_05

เราเห็นแต่เครื่องยนต์ หน้าปัด มาตรวัดต่างๆ แต่เราไม่เห็นเครื่องบิน ใช่ไหม หรือพิจารณาเห็นล้อเครื่องบิน ล้อก็เป็นล้อ ไม่ใช่เครื่องบิน เก้าอี้ที่นั่ง ก็ไม่ใช่เครื่องบิน

ถ้าเห็นเป็นส่วนๆ อย่างนี้ ก็พอเห็นได้ว่าเครื่องบินไม่ได้มีตัวตนจริงๆ มันเป็นผลจากส่วนประกอบหลายๆ ส่วนที่ถูกยึดเชื่อมเข้าไว้ด้วยกันต่างหาก

คล้ายกับตัวตนของมนุษย์ ที่ในทางพุทธ เราพูดกันบ่อยๆ ว่าไม่ได้มีจริงนะครับ มันเป็นแค่องค์ประชุมของส่วนต่างๆ อันได้แก่ กาย ส่วนหนึ่ง กับจิตใจอีกสี่ส่วน ซึ่งการจะเห็นว่าส่วนต่างๆ มันแยกเป็นคนละส่วนกันจริงๆ เราอาศัยสติ รู้กาย รู้ใจ ลงไปตามที่มันเป็นจริง ณ ปัจจุบัน ด้วยจิตที่ตั้งมั่น และเป็นกลาง

อันนี้ตรงกับสิ่งที่มาสโลว์บอกครับ ว่า Self Actualization เป็นเรื่องของปัญญา (Creativity) เป็นการมีชีวิตอยู่กับปัจจุบัน (Spontaneity) การรู้หรือยอมรับตามความจริง (Acceptance of Facts) ด้วยความเป็นกลาง  (Lack of Prejudice)

การมีสีสัน อัตตาตัวตน ที่แตกต่างกัน เป็นสิ่งธรรมดาของโลกนะครับ ตราบใดที่เรายังมีอัตตา ก็ยังมีตัวตน เพียงแต่ถ้ารู้ทันว่าอะไรเป็นเปลือกเป็นสีสัน อะไรเป็นแก่นเป็นเนื้อแท้ อะไรคือสาระ อะไรคือของชั่วคราวที่ลวงตา เราจะมองโลกใบเดิมและผู้คนเดิมๆ กระทั่งชีวิตตัวเอง ด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป

อย่างน้อยผมก็หวังว่า วันนี้ผมคงได้ช่วยจุดประกายให้เรามองข้ามเส้นแบ่งแยกของอัตตาของมนุษย์ เห็นคนที่มีเปลือกหรือสีสันที่ต่างจากเรา ด้วยใจที่เป็นมิตรและเมตตามากขึ้น และขอให้พบความพอดีในการอยู่ร่วมกันบนโลกของความแตกต่างกันต่อไปนะครับ