Print

ธนาคารความสุข - ฉบับที่ ๙๔

ทุกข์ร้อนๆจ้า

aston2โดย aston27



94_bank

(ภาพประกอบโดยความเอื้อเฟื้อของคุณ SevenDaffodils ครับ)
อากาศช่วงนี้ร้อนได้ใจ ค่าไฟแพงหน่อยนะครับ
หลายคนบ่นอุบ ว่าทำให้ไม่สบายตัว มัวทุกข์กาย
และหงุดหงิดทรมาน พานทุกข์ใจ

ผมเริ่มเขียนบล็อกมาไม่กี่ปี มีคนเขียนมาปรึกษาปัญหาเป็นหลักร้อย
แม้ว่าปัญหาที่ว่า จะมีเนื้อหา ที่มา มีเหตุปัจจัยต่างกันบ้าง เหมือนกันบ้าง
แต่ทุกคนมีสิ่งหนึ่งซึ่งเหมือนกัน คือ เขาเขียนมาเพราะมี ?ทุกข์?

การค้นหาวิธีจัดการกับทุกข์ เป็นสิ่งที่มนุษย์เสาะหามาทุกยุคสมัย
ตั้งแต่ก่อนพระพุทธเจ้าจะประสูติ จนหลังจากท่านปรินิพพานไป

สมัยที่เราเรียนพุทธศาสนาในโรงเรียน เรามักจะได้ท่องว่า
พระพุทธเจ้าสอนอริยสัจ ๔ มีทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค

บางคนไม่ทันได้คิดอะไร ครูให้ท่อง เราก็ท่องไว้จะได้ไปสอบ
แต่คนที่ช่างสงสัยก็จะมีคำถามว่า ศาสนาพุทธนี่แปลก
จะให้เรียนเรื่องสัจจะ ความจริง ทั้งที ทำไมจะต้องให้เราเรียนเรื่องทุกข์
ในเมื่อชีวิตมันมีทั้งสุขและทุกข์ เราเรียนสุขอย่างเดียวไม่ได้หรือ

คำตอบคือท่านไม่ได้จำกัดหรอกครับ เพราะนิยามคำว่า ?ทุกข์? ในทางพุทธ
ไม่ใช่เพียงแค่ ทุกขเวทนาที่เกิดกับกายหรือใจ อย่างที่เราทุกข์เพราะอากาศร้อน
แต่ทุกข์ ในอริยสัจ พระพุทธเจ้าท่านแจกแจงไว้ว่า

ความเกิด ความแก่ ความเจ็บ และความตายเป็นทุกข์
การประสบกับสิ่งที่ไม่รัก การพลัดพรากจากสิ่งที่รัก และความไม่สมปรารถนาก็เป็นทุกข์
ความเศร้าโศกร่ำไรรำพัน ความไม่สบายกาย ความไม่สบายใจ ความคับแค้นใจก็เป็นทุกข์
ที่สำคัญท่านทรงขมวดท้ายว่า "ว่าโดยย่ออุปาทานขันธ์ทั้ง ๕ คือทุกข์"

บางคนอ่านถึงคำว่า อุปาทาน ขันธ์ ๕ แล้วเกิดอาการงง จนวิงเวียนจะเป็นลม
ดมยาหม่องตราลิงถือลูกท้อ จนลิงกินท้อหมดต้นก็แล้ว กินยาหอมห้า หก เจ็ดเจดีย์ก็แล้ว

ครูบาอาจารย์ท่านเลยย่อสรุปให้อีกว่า กายกับใจเรานั่นแหละ เป็นตัวทุกข์
เพราะขันธ์ ๕ ย่อลงมา ก็เหลือ กาย กับใจ

ถ้ามีกาย ก็แปลว่าเกิดมาแล้ว ยังไงก็ต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตาย
ถ้ามีใจ ยังไงก็ต้องเจอสิ่งที่ไม่รัก พลัดพรากจากสิ่งที่รัก และผิดหวังฯลฯ
พูดง่ายๆว่า มันเป็นเรื่องธรรมชาติที่จะต้องเจอกันทุกคน

ฉะนั้นเวลาเรียนศึกษาปฏิบัติภาวนา เพื่อจะได้รู้ทุกข์
ท่านถึงสอนให้เรารู้อยู่ที่กาย และจิตใจ ของตัวเอง ไม่เกินจากนี้
และท่านไม่ได้จำกัดว่า ให้รู้เฉพาะเวลามีทุกข์ แต่มันเป็นสุขก็รู้ มันเป็นทุกข์ก็รู้

ที่สำคัญ ปัญหามันไม่ได้อยู่ที่ ?ความทุกข์? หรอก
อย่างความแก่เป็นทุกข์ แต่ถ้าเรามีสติ เรายอมรับได้ว่าเป็นเรื่องธรรมชาติ
ความแก่ก็ยังเป็นทุกข์ แต่มันไม่มีคนทุกข์ เห็นไหมครับ

หรือพ่อแม่ คนที่เรารักตายจากไป ก็เป็นทุกข์
แต่ถ้าเรามีสติ มีปัญญา ยอมรับได้ว่าความตายเป็นเรื่องธรรมดา
การพลัดพรากจากสิ่งที่รัก ก็ยังเป็นทุกข์อยู่เหมือนเดิม
แต่มันไม่มีผู้ทุกข์ ไม่มีใครทุกข์ เห็นไหมครับ

ผมเคยสังเกตว่า เวลามีสุขผมก็จะเห็นทุกข์อยู่ในนั้น
เพราะถ้าใจปรุงสุขแล้วขาดสติ หลงในสุข ยึดมั่นในสุข
อยากให้สุขนานๆสุขนิรันดร์ นั่นก็ชื่อว่ากำลังเป็นทุกข์แล้ว

ผมเขียนแบบนี้ใน facebook ก็มีคนถามมาว่า ...
?อย่างงี้ นิ่งๆ ไม่สุข ไม่ทุกข์ น่าจะดีกว่ามั้ย...?

ตอบว่า เหมือนจะดีกว่าแต่มันผิดธรรมชาติครับ
แล้วอะไรที่ฝืนธรรมชาติ ก็เป็นทุกข์อีกนั่นแหละ

ชาวพุทธมีความสุขได้นะครับ สำนวนครูบาอาจารย์ท่านว่า ก็คนมันมีบุญอ่ะ
บุญให้ผลใจก็เป็นสุข เพียงแต่ต้องรู้ทัน อย่าโลภอย่าหลงอย่าไหลในสุข จนขาดสติ

ชาวพุทธปฏิบัติ เพื่อความเข้าใจในธรรมชาติ
อยู่กับธรรมชาติ อยู่กับสุข กับทุกข์ตามธรรมชาติได้โดยไม่ทุกข์มาก
จนถึงที่สุดแห่งทุกข์ เป็นสุขแท้ที่พ้นจากทุกข์ทั้งปวง เรียกว่า นิพพาน

ฉะนั้น เราไม่ได้ปฏิเสธความสุขนะครับ แต่เบื้องต้นให้เข้าใจ ระลึกไว้เสมอว่า
ถ้าเป็นสุขเวทนาหรือทุกขเวทนา มันไม่เที่ยงหรอก
สุขก็แค่ของชั่วคราว ทุกข์ก็ของชั่วคราว เสมอกัน

ถ้ารู้เท่าทันใจที่สุข ใจที่ทุกข์ เปลี่ยนแปลงไปมาไว้เสมอๆ
วันหนึ่งก็จะเห็นความจริง เห็นธรรม เข้าถึงนิพพานได้ครับ ^^

สุขสันต์วันที่กายร้อน แต่ใจร้อนบ้างไม่ร้อนบ้างนะครับ