Print

ธนาคารความสุข - ฉบับที่ ๙๑

สวน ต้นไม้ กับคนสวน

astonโดย aston27

?

?


(ภาพประกอบสวยๆ โดยความเอื้ออารีของคุณ SevenDaffodils ครับ)


รู้จักศิลปินแห่งชาติสาขาวรรณศิลป์ที่ชื่อ
'รงค์ วงษ์สวรรค์ ใช่ไหมครับ?

คุณลุง 'รงค์ เคยให้สัมภาษณ์ในรายการ 'ที่นี่ประเทศไทย' ออกอากาศเมื่อปี ๒๕๔๗

ท่านพูดถึงสุภาษิตจีนอันหนึ่งว่า...

"ถ้าอยากมีความสุขสักสามชั่วโมงให้ไปซื้อเหล้ามากิน จะสุขไปได้สามชั่วโมงแล้วก็เมา
ถ้าอยากมีความสุขสักสามวันให้ฆ่าหมู
ถ้าอยากมีความสุขสักสามคืนให้มีเมีย
ถ้าอยากมีความสุขตลอดชีวิตให้ปลูกต้นไม้ เพราะปลูกต้นไม้มันอายุยืนกว่าเราอีก"

บ้านผมมีสวนขนาดย่อมๆ พอปลูกต้นไม้ยืนต้นได้สักสามต้น
เป็นสวนที่มาพร้อมกับตัวบ้าน มีสนามหญ้าขนาดพอให้แมวดิ้นตายได้สักสี่ตัว
ปีแรกที่มาอยู่ ผมจ้างคนสวนของหมู่บ้านให้มาดูแล รดน้ำพรวนดิน ตัดแต่งกิ่ง

อยู่ๆไป จากที่เคยมาทุกวันก็เริ่มเป็นวันเว้นวัน วันเว้นสองวันบ้าง สามวันบ้าง
ผมเริ่มรำคาญ ก็เลยตัดรำคาญโดดลงมาทำสวนเอง

ผมพบว่า การทำสวน เป็นงานที่เพลินมากครับ แต่ต้องมีเวลาสม่ำเสมอ
คนสวนที่ดีต้องมีวินัย เพราะต้นไม้เขามีเวลาของเขา
ว่าเมื่อไหร่เขาต้องการน้ำ เมื่อไหร่ต้องตัดผมให้เขา เมื่อไหร่ต้องให้ยาบำรุงเขา

คนสวนแอสตั้น ดูแลสวนได้ในระดับห่วยปานกลางถึงพอใช้

ต้นไม้ส่วนหนึ่งงอกงามดี แต่บางส่วนก็เริ่มทยอยเท่งทึงไป คราวละต้นสองต้น

ประกอบกับคุณสุนัขบังเกิดเกล้าของผม ก็ช่วยวิ่งตะลุยย่ำบ้าง ขุดดินถอนรากบ้าง
สวนที่เคยสวยงามขนาดน้องๆสวนนงนุช ก็เริ่มกลายเป็นสวนลุมแต่เป็นฝั่งไนท์บาซาร์นะ

ถึงยังไงผมก็ยังชอบทำสวนอยู่ และที่ต้องทำประจำคือการกวาดใบไม้
บ้านผมมีต้นตีนเป็ดสองต้น และสัตบัน ๑ ต้นใหญ่ แค่สามต้นนี้ก็กวาดกันเมื่อยละ

เวลากวาดใบไม้ ผมจะพยายามทำตามที่หลวงพ่อปราโมทย์เคยเล่า
เรื่องที่พระในวัดต่างๆ โดยเฉพาะวัดป่า จะชอบให้ลูกศิษย์ไปกวาดลานวัด

เวลากวาดไม่ใช่สักแต่กวาดๆให้เสร็จ แต่กวาดเพื่อจะรู้สึกตัว
เห็นร่างกายเคลื่อนไหว ใจเป็นคนดู
เห็นว่ากายไม่ใช่ตัวตน เป็นสิ่งที่ถูกรู้ ถูกดู

รู้กายเคลื่อนไหวอยู่ พอใจเคลื่อนแว็บไปคิด ก็รู้ทัน
ถ้ากวาดใบไม้แล้วภาวนาได้แบบนี้ ล้างจาน ถูพื้น กวาดบ้าน ก็ภาวนาได้หมดหลักการเดียวกันนะครับ กายเคลื่อนไหว มีใจคอยรู้สึก ใจคอยเป็นคนดู

วันก่อนผมตื่นเช้าไปกวาดใบไม้ แล้วก็นึกขำว่าเพิ่งกวาดจนเกลี้ยงไปเมื่อสองวันก่อน
พอกวาดได้สักพัก จิตมันไปคิดถึงเรื่องที่ผมไปกราบครูบาอาจารย์
แล้วท่านเมตตาพาให้นั่งสมาธิ เรานั่งแล้วก็สงบ สบาย ใจเบา

แต่พออีกวันไปทำงาน กิเลสมันก็กลับเข้ามามะรุมมะตุ้มเหมือนเดิม
จิตก็แว็บขึ้นมาว่า เออ...ใจเรานี่มันก็ไม่ต่างอะไรกับสวนนี่แหละ
มีกิเลส เหมือนใบไม้ที่กวาดทิ้งเท่าไหร่ก็ไม่เคยหมด

ตราบใดที่ยังมีต้นไม้ ยังมีสวน ใบไม้ก็จะร่วงหล่นมาอีก ไม่ช้าก็เร็ว
ถ้าสวนนี้ บ้านนี้ มันยังเป็น "ของเรา" เราก็คงยังจะต้องกวาดมันไปอีกนาน

คล้ายๆโศลกของเว่ยหลางนะครับ ที่บอกว่า
ถ้าไม่มีต้นโพธิ์ ไม่มีกระจกแล้วฝุ่นจะลงจับอะไร

แต่ถามว่า คิดได้แบบนี้ เราทิ้งบ้านไปเลยดีไหม ถอนต้นไม้ทิ้งหมดดีไหม

ตอบว่าไม่ดี เพราะยังผ่อนไม่หมด ทิ้งไปก็เท่ากับโกงธนาคารเขา

และสวน ถ้าไม่มีต้นไม้ มันก็ขาดร่มเงาและมันย่อมไม่ใช่สวน
เหมือนเรายังเป็นคนธรรมดา ยังไงก็ต้องพึ่งพาอาศัยบ้านช่องห้องหับ
ไม่พึ่งหลังนี้ มันก็ต้องไปพึ่ง ไปอาศัยที่ไหนสักที่อยู่ดีนั่นแหละ

ชีวิตคนเราก็เป็นอย่างนี้แหละครับ เรามีครูบาอาจารย์คอยบอกเราแล้วว่า
กายนี้ใจนี้ไม่ใช่ของเรานะ เป็นของโลกแต่เราไปตู่เอามาเป็นของเรา
แต่ฟังแล้ว จู่ๆจะวางเลยได้เองไหม ไม่ได้หรอก ก็ต้องอยู่ร่วมกับมัน อาศัยมันไป

ในเมื่อยังต้องอยู่อาศัยพึ่งพากัน ก็ดูแลกันไว้ตามสมควร

ไว้ภาวนาไป วันไหนจิตใจมันยอมรับธรรมะได้จริงๆ
มันจะค่อยๆมีปัญญา แล้วปล่อยวางด้วยปัญญาเอง

วันนั้นแหละ ใบไม้จะร่วงไม่ร่วงก็ไม่สำคัญ
เพราะจิตมันถอดถอนความยึดมั่นไปแล้ว ว่านี่เป็น "สวนของเรา"

เมื่อไม่ไม่มีความเป็นของเรา กิเลสก็ไม่มีที่ตั้ง
เมื่อไม่มีกิเลส ทุกข์ก็ไม่มีที่ตั้งตามไปด้วย

สุขสันต์วันที่ใบไม้ร่วงก็แล้วกันนะครับ