Print

ธนาคารความสุข - ฉบับที่ ๘๙

ของฝากจากลิสบอน

astonโดย aston27

?

?

bank-089

(ภาพประกอบสวยๆโดย SevenDaffodils ครับ)

ไปโปรตุเกสรอบนี้ มีเรื่องกลับมาเล่าได้หลายเรื่องครับ

อย่างที่มีคนร้องขอมาทาง
Twitter บอกว่าอยากอ่านเรื่องที่ผมทวิตไว้ว่า
ไม่ว่าคนชาติไหนภาษาใด ก็มีอัตตาตัวตนของตัวเอง

ปกติเวลาไปต่างประเทศ ถ้าเลือกได้ ผมจะเลือกการบินไทย
ไม่ใช่เพราะแอร์สวย แต่เพราะรู้สึกคุ้นเคย เหมือนเรายังอยู่บ้าน
แม้ว่าหลายๆอย่างจะไม่แฟนซีหรูหรา เหมือนสายการบินอื่นก็ตาม

ยกเว้นว่าประเทศที่จะไป ไม่สะดวกในการเลือกนั่งการบินไทย
หรือเพราะผมไม่ได้เลือกเองอย่างคราวนี้ ที่ต้องนั่ง
British Airways

ส่วนหนึ่งเพราะเวลานั่งสายการบินฝรั่ง จะรู้สึกเสมอว่า
สายตาที่ฝรั่งมองเรา จะเป็นอย่างหนึ่ง แต่คนเอเชียจะมองกันอีกแบบ

เมื่อไหร่ที่เรามองเห็นคนอื่นว่าแตกต่างจากเรา
นั่นแหละ อัตตามันโผล่แล้ว ว่านี่เรา นั่นเขา
จะรู้สึกเหนือกว่า ด้อยกว่า หรือเสมอกัน ก็ชื่อว่าเป็นอัตตาทั้งนั้น


ผมมีโอกาสนั่งขอความรู้จากพระอาจารย์ไพศาล วิสาโล เมื่อไม่นานมานี้
ท่านบอกว่า มนุษย์เรามีธรรมชาติที่จะมองส่วนที่คนอื่นต่างกับเรา
มากกว่าจะมองส่วนที่คนอื่นเหมือนกับเรา


คนที่ไปเชียร์บอลตีกัน เพราะมองเสื้อที่ใส่ว่าคนละสี คนละทีม
ทั้งๆที่มันก็คนชอบดูบอลเหมือนๆกัน คนไทยเลือดสีแดงๆ เหมือนกัน

ยิวกับอาหรับฆ่ากัน ก็เพราะมองที่ความเป็นยิว เป็นอาหรับ
แต่ลืมว่าต่างก็สืบเชื้อสายมาจากอับราฮัม นับถือพระเจ้าองค์เดียวกัน
ลึกไปกว่านั้น ต่างก็เป็นมนุษย์เหมือนกัน แต่ต่างกันก็ด้วย "อัตตา"

ตอนที่ไปประชุมที่ลิสบอน ผมมีโอกาสได้ดูตอนแรกของมินิซีรีส์เรื่องใหม่
ผลงานร่วมกันสร้างของ ทอม แฮงค์ และสตีเว่น สปิลเบิร์ก อีกเรื่อง
ที่จะออกฉายใน
HBO เร็วๆนี้ ชื่อเรื่อง The Pacific

เป็นเรื่องจากมุมมองของทหารอเมริกันกลุ่มหนึ่ง ที่ถูกส่งไปรบ
ในสงครามโลกครั้งที่สอง บนสมรภูมิในแถบหมู่เกาะในแปซิฟิค

หนังพยายามบอกว่า แต่ละคนที่ถูกส่งไป ต่างก็มีครอบครัว มีคนรัก
มีพี่น้องเพื่อน ไม่ต่างกับทหารญี่ปุ่นที่พวกเขาถูกมอบหมายให้ฆ่านั่นแหละ

ตอนท้ายของตอนแรก ทหารอเมริกันคนหนึ่ง ไปค้นศพทหารญี่ปุ่น
ก็เจอรูปคู่ของทหารคนนั้นกับคนรัก เหมือนกับรูปที่ตัวเองพกติดตัวเสมอ



ดูแล้วผมรู้สึกว่า สงครามคือการสังเวยชีวิตคนจำนวนมาก
เพื่อสนองอัตตาคนไม่กี่คน บนทะเลน้ำตาของคนข้างหลัง

ระหว่างที่เดินทางกลับ ผมมีเวลารอต่อเครื่องหลายชั่วโมง
ปกติเวลาเดินดูของ ของอย่างหนึ่งที่ผมชอบดูคือนาฬิกาข้อมือ

เมื่อก่อนนี้ ผมจะไฝ่ฝันมาก ว่าจะได้นาฬิกาสวยๆ แพงๆ
ประเภทบุลการี หรือโอริส รุ่นบ๊อบ ดีแลนที่ผมเคยเล่าถึงในบล็อก

แต่เที่ยวนี้ ไปยืนดูแล้วก็ดูจิตไปด้วย อย่างที่ทำบ่อยๆในช่วงหลัง
ผมกลับรู้สึกต่างออกไปจากเดิม เพราะสังเกตว่า จิตผมมันไม่อยากได้แฮะ

ในทางตรงข้าม กลับรู้สึกว่า ยิ่งไอ้ของที่อยู่ในตู้โชว์อันละเป็นแสนนี่
ถ้าอยู่บนข้อมือเราแล้วยิ่งแพง มันจะยิ่งเป็นภาระมากเลยนะ...แอสตันเอ๋ย

ไหนจะต้องระวังรักษา ไหนจะเป็นเป้าสายตามิจฉาชีพ
ยิ่งสุวรรณมัจฉาปลาทองเรียกพี่แบบผม เกิดไปถอดลืมไว้ในห้องน้ำ
เสียดายตายเลย

อัตตาของมนุษย์ก็คล้ายกันนะครับ ยิ่งเราสร้างเปลือกไว้สวยหรูดูดีเท่าไหร่
มันก็เป็นภาระที่จะต้องแบกหนักรักษาไว้เท่านั้น

ถ้าวันไหนมีเหตุจะต้องหมองปริ มีตำหนิอย่างไร ก็ยิ่งลำบาก
ที่ทุกข์โทรมโทมนัสกันถึงขั้นคิดสั้นไป ก็มีให้เห็นอยู่เนืองๆ

เห็นได้อย่างนั้น แล้วก็เริ่มเห็นประโยชน์ของการภาวนา
ที่ครูบาอาจารย์บอกว่า เจริญสติไว้ ถึงเวลาปัญญามันจะมาเองเน้อ

แล้วปัญญาที่ว่า ก็ไม่ใช่เพื่อส่งเสริมอัตตา

แต่เพื่อทำลายอัตตาให้บางลงๆต่างหาก
ยิ่งอัตตาบางเบาลงเท่าไหร่ จิตใจก็โปร่งโล่งสบาย เป็นสุขขึ้นเท่านั้น


เช่นนั้นก็... สุขสันต์วันที่ยังมีคำสอนเพื่อทำลายอัตตาให้เราได้เรียนนะครับ