Print

ธนาคารความสุข - ฉบับที่ ๘๓

จาก The Time Traveler's Wife ถึงรถไฟฟ้าฯ การเดินทางสู่การพลัดพราก

โดย aston27

?



bankofhappiness83

คุณเชื่อเรื่องเนื้อคู่และการผูกพันกันข้ามกาลเวลาไหมครับ?

มีหนังสองเรื่องที่เข้าฉายในเวลาไล่เลี่ยกัน ด้วยความโด่งดังที่ผิดกันลิบลับในบ้านเรา
แต่กลับมีนัยบางอย่างที่ผมเห็นคล้ายคลึงกัน และอยากหยิบมาพูดถึง

เรื่องแรกเป็นหนังฝรั่ง สร้างจากนิยายขายดีเหมือนแจกฟรีในปี ๒๐๐๓
จากปลายปากกาของ ออเดรย์ นิฟเฟนเนกเกอร์ นักเขียนชาวอเมริกัน

หนังพูดถึงความสัมพันธ์ที่แสนพิสดารของคนคู่หนึ่ง ที่ฝ่ายชายมีความผิดปกติในยีน
ทำให้เขาต้องเดินทางข้ามเวลากลับไปกลับมา โดยไม่ทราบสาเหตุและวิธีควบคุม

การเดินทางข้ามกาลเวลาของเขา ทำให้นางเอกต้องอยู่ในภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
เพราะไม่รู้ล่วงหน้าว่าสามีจะหายไปตอนไหน หายไปไหนและเมื่อไหร่จะกลับมา
ไม่รู้กระทั่งว่า การเดินทางข้ามเวลาแต่ละหน จะได้กลับมาอย่างปลอดภัยหรือเปล่า

ถึงแม้สังสารวัฏของเหล่าสัตว์โลก จะไม่ได้เดินทางข้ามเวลากลับไปกลับมา
แต่พวกเราก็เวียนว่ายอยู่กับการเกิดในภพภูมิต่างๆ สลับกันไปมาจนน่าเบื่อ

แต่ที่เราไม่เบื่อ เพราะเราจำไม่ได้ว่าชาติก่อนๆ เราเคยเป็นอะไรมาบ้าง
อีกทั้ง ไม่มีใครรู้ตัวว่าเราจะต้องพลัดพรากจากสิ่งที่รัก คนที่รักไปเมื่อไหร่

ผมพูดเท่านี้ก็พอนะ ที่เหลือรอดูจากดีวีดีก็แล้วกัน เพราะหนังลาโรงไปแล้ว
อยากบอกว่า นี่เป็นหนังดีที่สุดหนึ่งในสองเรื่องของปีที่ผมได้ดูครับ

อีกเรื่องไม่ใช่หนึ่งในสองที่ว่าดีที่สุด แต่ก็เป็นหนังน่ารักชื่อ "รถไฟฟ้ามาหานะเธอ"

ใครที่ตามอ่านบล็อกผมมานานๆ รวมถึงเคยฟังรายการที่ผมจัดบ่อยๆ จะทราบว่า
ผมชอบเอ่ยชื่อเคน ธีรเดช โทษฐานที่เขาหน้าตาดีกว่าผมราวๆ สามเสาไฟฟ้า
แต่ผมก็ไม่เคยได้เขียนถึงผลงานของเขาสักที วันนี้จะเป็นครั้งแรก

หนังพูดถึงชีวิตของเหมยลี่ สาวหมวยวัยสามสิบที่ไม่เคยมีแฟน
แล้วก็นั่งรอว่าเมื่อไหร่จะมี จนวันหนึ่งไปเจอวิศวกรหนุ่ม BTS รูปหล่อใจดี
ชีวิตเหมยลี่จึงค่อยๆเปลี่ยนไป

ผมดูแล้วอมยิ้ม พลางนึกว่านี่มันซินเดอเรลล่าฉบับ กทม. เห็นๆ

หนังเข้าใจคัดเลือกดาราอย่างคริส หอวังมาเป็นนางเอก เพราะคริสเป็นคนดูดี
แต่ไม่ได้หน้าซ้วยสวยแบบนางเอกไทยทั่วไป สาวออฟฟิศทั้งหลายดูแล้วจะแอบรู้สึกว่า
ถ้าหน้าตาแบบนี้ มีแฟนหล่อ อบอุ่นใจดีแบบนี้ได้ ฉันก็ใกล้เคียงละวะ

ดูหนังเรื่องนี้แล้วนึกถึง The Time Traveler's Wife ตรงที่
สองเรื่องนี้มี "การเดินทาง" เข้ามาเกี่ยวข้อง

พระเอกนางเอกทั้งสองเรื่องได้พบกันเพราะ "การเดินทาง"
เพียงแต่คู่แรกเป็นการเดินทางในกาลเวลา อีกคู่เดินทางด้วยรถไฟฟ้า

ตอนจบของหนังสองเรื่องนี้ ต่างกันพอสมควร
แต่ในชีวิตจริง ตอนจบของพวกเราไม่ต่างกันหรอกครับ
พวกเราล้วนต้องเจอกับการพลัดพรากคนที่รัก ของที่รัก
หรือกระทั่งสิ่งที่เรารักและหวงแหนที่สุด อย่างกายและจิต
ที่เราคิดว่ามันคือ "ตัวเรา" ด้วยกันทั้งนั้น

อีกอย่าง ผมรู้สึกว่าคนสมัยเราขี้เหงากันมากขึ้นนะ
คนอย่างเหมยลี่ที่คิดว่า ชีวิตจะสมบูรณ์ก็ต่อเมื่อเจอ "ชิ้นส่วนที่ขาดหาย" มีเยอะเลย
หรืออย่าง Clare ที่ทำใจไม่ได้ถ้าสามีที่รักและเคยอยู่จะต้องจากหายไป
อันนี้เป็นทัศนคติอันตรายสำหรับมนุษย์อย่างเราๆนะครับ

นั่นคือเหตุที่ทั้งสองเรื่องมี "การรอคอยใครคนนั้น" ของฝ่ายหญิงเป็นพล็อตรอง

เมื่อเดือนที่แล้ว ผมเขียนถึงเพลงของ Dean Martin เพลงหนึ่งให้นิตยสาร Mix
ชื่อเพลงว่า You're nobody 'til somebody loves you แปลทื่อๆเป็นไทยได้ว่า
"เรามันไร้ค่า จนกว่าจะมีใครสักคนมารัก"

ผมบอกว่า ผมไม่เห็นด้วยกับชื่อเพลงนี้นะ เพราะในความเห็นของผม
คุณค่าของมนุษย์ ไม่ได้ขึ้นกับจำนวนคนที่มารัก
แต่คนเราจะมีคนมารัก เพราะเขาเห็นคุณค่าในตัวเราต่างหาก

พูดให้ถูกกว่านั้น ต่อให้ไม่มีใครมารัก เราก็มีคุณค่าในตัวเองได้

ในทางพุทธ ถือว่าคนที่มีคุณค่า คือคนที่ใช้โอกาสความเป็นมนุษย์พัฒนาจิตของตนเอง
ข้อดีของความเป็นมนุษย์ คือการเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีเลือดเนื้อและจิตใจที่ไม่เที่ยงแท้ถาวร
เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีร่างกายและจิตใจเป็นทุกข์ได้เอง
โดยมีธรรมชาติของมันเอง ไม่อยู่ใต้บังคับบัญชาของเรา

เราอาศัยการรู้สึกตัว คอยสังเกตความจริงเหล่านี้ อย่างเป็นกลาง ไม่แทรกแซง
จิตจะปรุงแต่ง เราก็รู้ รู้แล้วไม่ห้าม แต่ก็ไม่ช่วยมันปรุงแต่ง
มันจะเป็นกลาง ไม่เป็นกลาง เราก็รู้ รู้แล้วก็ไม่เพิ่มความไม่เป็นกลางเสียเอง

สักวันหนึ่ง จิตมันมีปัญญามากพอ มันจะสรุปความรู้ที่สะสมไว้
แล้วจะรู้ว่า ชีวิตนี้มีความสุขได้โดยไม่ต้องพึ่งพาคนอื่นใครอื่น
รถไฟฟ้าจะมาหาเราหรือใคร ก็ไม่ใช่ปัญหาของเรานะ

สุขสันต์วันที่เรายังเป็นมนุษย์ครับ