Print

ธนาคารความสุข - ฉบับที่ ๘๒

มองโลกในแง่ร้าย หรือมองตามความเป็นจริง (ตอนที่ ๒)

โดย aston27

?


82_bank_1

ที่จริงตั้งใจจะเขียนตอนเช้าวันเสาร์ แต่วันนี้กรุงเทพอากาศเย็นจนน่าปลื้มใจ
เลยนึกอะไรขึ้นมาได้ และอยากเขียนก่อนความจำมันจะผ่านเลยไป
อากาศเย็นแบบนี้ คนกรุงเทพส่วนมากชอบทั้งนั้นแหละครับ
แต่ถามว่า มันเย็นเพราะเราชอบกันหรือเปล่า.. เปล่า ใช่ไหมล่ะ
มันเย็นเพราะมีเหตุปัจจัยอะไรบางอย่าง ทำให้มันเย็น
อาจจะเพราะความกดอากาศ คลื่นความเย็นจากมองโกเลีย พายุฝนจากเพื่อนบ้าน
หรืออะไร ก็ไม่สำคัญหรอกครับ
มันหมดเหตุและปัจจัยของอากาศเย็น ก็จะมีเหตุปัจจัยที่ทำให้อากาศร้อนเข้ามาแทน
จิตใจของคนเรา ก็เป็นแบบนี้เองครับ เหมือนโลกใบนึง ที่มีสภาวะอากาศที่แปรปรวนไปมา
เวลาจิตเกิดสภาวะ มีอารมณ์อะไรขึ้นมา ก็เป็นเพราะเหตุและปัจจัยของมัน
เมื่อเหตุและปัจจัยหมด สภาวะนั้นก็ดับไปได้เอง ไม่ใช่เพราะเราอยาก ไม่อยาก ชอบ ไม่ชอบ
นักเรียนวิปัสสนา จะรู้ลงปัจจุบันสถานเดียว ไม่ว่าจิตจะดี จะไม่ดี จะสุข จะทุกข์ ก็ไม่เลือก
ขอแค่ "รู้" เพื่อจะได้เห็นความจริง ของกาย ของใจ ว่ามันก็แค่ของชั่วคราว เกิดแล้วก็ดับ
ไม่ว่าจิตสุข หรือจิตทุกข์ เราก็กำหนดไว้ล่วงหน้าไม่ได้
เหตุปัจจัยมันทำให้สุข มันก็สุข เหตุและปัจจัยมันเอื้อต่อทุกข์ จิตมันก็ทุกข์
หมดเหตุ สิ้นปัจจัยของสุขหรือทุกข์ มันต่างก็ดับไปเสมอกัน
แล้วตกลง มีตรงไหนเหรอ ที่เรียกว่า "ตัวเรา" น่ะ
ในเมื่อไม่มีอะไร ที่เรากำหนด บังคับได้จริงๆ
นอกจากจะหลอกตัวเองด้วยกำลังสมาธิชั่วครั้งคราวนะ
กายเรา เรากำหนดให้มันเต่งตึง ขาวอมชมพู ได้ตลอดไปที่ไหน
เราทำได้แค่ประคองมันโดยการสร้างเหตุและปัจจัยที่เกื้อหนุนต่อการคงสภาพ
ถึงเวลาเจ็บไข้ได้ป่วย ถึงเวลาเหี่ยว ถึงเวลาเจ็บ ถึงเวลาแตกดับ ตายไป เราบังคับได้ที่ไหน
หน้าเหี่ยว ไปฉีดโบท็อกซ์ ไปดึงหน้าให้ตึง
ผมหงอกขาว ไปย้อมให้มันดำ มันก็แค่กลบเกลื่อน ตกแต่งความจริง
จิตก็เหมือนกัน ดูๆไป ก็จะเห็นความจริงอย่างเดียวกัน ว่า...
มันเป็นของมันอย่างนั้นเอง
มันไม่ใช่ตัวเรา เพราะมันทำงานเอง มีปฏิกิริยาตามเหตุและปัจจัย
ผมถึงเรียกว่า นักเรียนวิปัสสนา เป็นผู้ที่มองโลกตามความเป็นจริง
แต่เราไม่ได้มองโลกในแง่ร้ายหรอกนะ
คนมองโลกในแง่ร้าย คือคนที่ไม่ค่อยมีความสุขกับชีวิต
แต่คนมองโลกอย่างที่มันเป็นจริง ด้วยวิธีของวิปัสสนา คือตามรู้กาย รู้ใจนั้น
มักเป็นคนที่มีความสุขกับชีวิต อย่างน่าอัศจรรย์
เพราะเราเห็นแล้วว่า... ธรรมดาของโลก มันเป็นของมันอย่างนั้นแหละ
ไม่ได้มีสาระอะไรให้เราเข้าไปยึด ไปแบกเอาไว้ให้เป็นภาระทางใจ
วันที่สุขมา เราก็สุขเหมือนคนปกติ แต่เพิ่มความมีสติรู้สึกตัวเข้าไปหน่อย
เวลาสุขเริ่มจางหาย เราก็รับรู้อย่างเข้าใจ ไม่บ่น ไม่ดิ้นรนมากมาย จะให้มันกลับมา
วันที่ทุกข์มา เรากลับมองเห็นทุกข์ เป็นของปกติ ไม่รักมัน แต่ก็ไม่เกลียด
ไม่วิ่งเข้าตะลุมบอนกับมัน แต่ก็ไม่ได้กลัวมันจนต้องขวัญหนีดีฝ่อ
เคยเห็นใบบัวใช่ไหมครับ สังเกตไหม มันอยู่กลางน้ำ แต่ไม่เคยเปียกน้ำเลย
การเกิดมามีชีวิตแบบโลกๆ ก็เหมือนกัน เราไม่จำเป็นต้องปฏิเสธโลก
แต่เราก็ไม่จำเป็นต้องเปียกถูกกลืนไปตามกระแสของโลก
การมองโลก มองชีวิตให้เห็นความจริง จึงเป็นเรื่องสำคัญที่มีประโยชน์
แต่ก็อีกเช่นกัน มันไม่จำเป็นว่าเราต้องมองโลกในแง่ร้าย
เวลาชีวิตเดินมาถึงจุดต่ำสุด
คนที่เข้าใจโลก เข้าใจธรรมะ เข้าใจธรรมชาติ ด้วยสติด้วยปัญญา
จะเห็นว่า มันต่ำลงมาได้ มันก็ขึ้นไปใหม่ได้
คนที่มองโลกในแง่ร้าย จะเห็นว่า มันไม่ยุติธรรม ฟ้าลำเอียง
ชีวิตถึงจุดสิ้นสุดแล้ว โลกสลายหมดสิ้นแล้วทุกอย่าง
หวังว่าคงไม่เข้าใจยากเกินไปนะครับ
ไม่เข้าใจ ก็รู้ว่าไม่เข้าใจ งง รู้ว่างง
ผิดหวังรู้ว่าผิดหวัง เซ็งที่หลงมาอ่าน รู้ว่าเซ็ง
แค่นี้ก็ดีถมไปแล้วครับ
สุขสันต์วันอากาศเย็นนะครับ ^^