Print

ธนาคารความสุข - ฉบับที่ ๒๐๓

eddy_cover

เสียงแห่งความเงียบ

โดย aston27
aston2

boh203

 

แต่ไหนแต่ไรมา ผมเป็นคนชอบภูเขามากกว่าทะเลครับ
ถ้ามีเวลาไปเที่ยวแล้วเลือกได้ จะเลือกไปเที่ยวภูเขาเสมอ
เพราะไปทะเลที่ไร จะรู้สึกไม่ค่อยสบายเนื้อสบายตัว เวียนหัวทุกที

คราวหนึ่ง เคยมีน้องที่นับถือกันพาผมไปหาหมอจีน ที่เขาเรียกหมอแมะระดับเทวดา
เขาแมะให้ ฟังชีพจรผมแล้วก็พูดเหมือนกันว่า คุณนี่ไม่ถูกโรคกับทะเลนะ
พยายามอยู่ห่างๆไว้ อาหารทะเลเลี่ยงได้ก็เลี่ยงอย่ากินมาก

ต่างกับเวลาไปภูเขาจะรู้สึกไม่อยากกลับบ้านทุกที เพราะชอบอากาศ
ชอบทิวทัศน์ ชอบกลิ่นภูเขา ชอบกระทั่งเสียงของป่า นึกออกไหมครับ เสียงป่าน่ะ

ผมมักจะเสียดาย เวลาเห็นใครมาเที่ยวป่า เที่ยวภูเขา แล้วเปิดเพลงดังๆ
เรื่องมารยาทนั่นก็เรื่องหนึ่ง
แต่เรื่องที่เสียดายว่า เขาไม่ได้ฟังเสียงจากความเงียบนี่สิ ที่สำคัญ

ที่จริงจะภูเขา หรือป่า เขาไม่เคยเงียบหรอกนะครับ
ภูเขามีเสียงลม เสียงใบไม้ไหว เสียงจิ้งหรีด เสียงนกร้อง
และอีกมากมายตามแต่ความอุดมสมบูรณ์ของป่าเขาลำเนาไพรแห่งนั้น

คนเรามักจะเข้าใจว่า การอยู่กับความเงียบ เป็นความน่ากลัว
เป็นความเวิ้งว้างว่างเปล่า ที่ไร้จุดหมาย แต่ลืมไปว่า
อันที่จริง ความเงียบสงบ ก็นับเป็นเสียงชนิดหนึ่ง

เหมือนที่เราลืมไปว่า ความรู้สึกเฉยๆ
ไม่สุข ไม่ทุกข์ ไม่ดีใจ ไม่เสียใจ ก็นับเป็นความรู้สึกประเภทหนึ่ง

หรือเราคิดว่า การไม่ได้กินอะไร แปลว่าลิ้นไม่ได้สัมผัสรสอะไรเลย
ลืมไปหรือไม่รู้ว่า น้ำลายก็มีรสของมันเองแบบหนึ่ง ฉันใดฉันนั้น

พอล ไซมอน และอาร์ต การ์ฟังเกล เคยร้องเพลงชื่อ
The Sound Of Silence เสียงแห่งความเงียบ
พูดถึงเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่คุยกับตัวเองในความมืด

ในชีวิตจริง แม้ว่าทั้งวันเราจะไม่เจอใครเลย
ไม่มีโทรศัพท์ ไม่มีอินเทอร์เน็ต แชทโปรแกรมอะไร
ในจิตเรามักจะมีเสียงของตัวเอง พูดกับตัวเองทั้งวันอยู่แล้ว ถ้าเคยสังเกต

การพูดคุยกับตัวเองในความเงียบนี่แหละครับ ที่เรารู้จักในชื่อของ “ความคิด”
บางคนเคยเถียงกับตัวเองในความคิด ก็มี สมรู้ร่วมคิดกัน ก็มี
บางทีคิดจะทำอะไรไม่ดี แล้วมีความคิดอีกตัวมาคอยเตือน คอยห้ามไว้ ก็มี

บางคนคิดไม่ดีทั้งวัน จนรำคาญตัวเอง พยายามหาทางจะไม่คิด
บอกให้ตรงนี้เลยว่า ไม่สำเร็จหรอก วิธีนั้น ให้เปลี่ยนใหม่นะ

เปลี่ยนเป็นคอยมีสติ รู้ทันจิตที่คิดบ่อยๆ คิดดี คิดไม่ดี ไม่สน
สนแค่ว่า จิตหลงไปคิดแล้ว หนึ่งดอก จัดไป

ถ้าเราไม่รู้สึกตัวเลย ว่าหลงไปคิด จิตจะคลุกอยู่ในเรื่องที่คิด
ในความรู้สึกที่จิตนั่นแหละปรุงแต่งออกมา เช่น โกรธ เกลียด แค้น เบื่อ เคลิ้ม

บางคนที่เคยลองฝึกแล้ว มักจะมีข้อสงสัย ไม่แน่ใจว่า ที่ทำอยู่นี่ คือรู้แล้ว หรือคิด
ตอบให้ว่า ถ้าเห็นว่าจิตคิด ก็รู้แล้วครับ แต่สติ หรือความรู้สึกตัว มันเกิดทีละแวบนะ

เหมือนเราเปิดก๊อกน้ำ ให้น้ำไหล แล้วเอามือไปตัดผ่านน้ำที่ไหลเป็นสาย
น้ำจะขาดออกจากกันแวบนึง แล้วไหลต่อ อย่าตกใจ อย่าคิดมาก
สงสัย ให้รู้ว่าสงสัย เพราะยังไงๆ จิตก็ไม่หยุดคิดหรอกครับ มันของคู่กัน

หน้าที่เราไม่ใช่การฝึกเพื่อไม่ให้จิตคิด แต่ฝึกเพื่อให้รู้ทันจิตที่คิดบ่อยๆ
มีสติก่อน แล้วค่อยพัฒนาไปสู่ความตั้งมั่น ไม่ไหลตามความคิดไป โดยไม่ต้องห้าม

บริหารจิตด้วยสติไปทั้งวันนะครับ ทุกวันด้วย แล้วจะพบว่า
เราอยู่กับความคิดได้อย่างเป็นมิตรกับมันมากขึ้น
ไม่โดนความคิดหลอกเอาง่ายๆเหมือนเมื่อก่อน
จิตคิดดี ก็ไม่เที่ยง คิดไม่ดีก็ไม่เที่ยง
จิตจะคิดดีก็ห้ามไม่ได้ จิตจะคิดร้ายก็ห้ามไม่ได้ เขาคิดเอง
เห็นความจริงแบบนี้ เรียกว่า เห็นธรรมแล้ว ที่เหลือก็แค่ เห็นบ่อยๆ เห็นให้พอ

เห็นจนพอ จนรู้แล้ว เชื่อแล้วว่า ไม่มีอะไรในโลกที่เที่ยงแท้ถาวร
ไม่มีอะไรที่เราบังคับได้ตามใจอยาก มันเป็นไปตามเหตุและปัจจัย
มีเหตุก็เกิด หมดเหตุก็ดับ บังคับไม่ได้
เห็นกระทั่งว่า ไม่มีใครอยาก ไม่มีใครยึด จิตอยากเอง ยึดเอง จิตทุกข์เอง

เห็นมากพอ จนใจยอมรับเพราะใจมีปัญญาในการเห็นความจริงดังนั้น
จิตจะวางได้เอง ไม่ต้องอยากให้วาง พ้นจากความอยากวาง อยากหยิบ

ที่สุดของทุกข์ อยู่ตรงนั้นเองครับ

สุขสันต์วันที่เรายังได้ยินเสียงในความเงียบอยู่นะครับ