Print

ธนาคารความสุข - ฉบับที่ ๑๙๘

eddy_cover

ระยะห่างระหว่างสุขกับทุกข์

โดย aston27
aston2

boh198

(ภาพประกอบโดยคุณ Rangsamin ครับ)

ผมใช้เวลาหลายปีในการเขียนและพูดเรื่องความสุขจากการเรียนธรรมะ
เวลาเจอคนที่ไม่ค่อยสนใจธรรมะเขายังนึกสงสัยว่า
ธรรมะช่วยให้เรามีความสุขได้ยังไง
คำอธิบายที่อาจพอช่วยได้คือ เพราะธรรมะแปลแบบซื่อๆเรียบๆว่า “ความจริง”
ธรรมะที่พระพุทธเจ้าสอนนั่นแหละครับ
ล้วนแล้วแต่ไม่มีอะไรที่เกินจริงหรือน้อยกว่าความจริงเลย

มีเรื่องเล่าว่าในสมัยพุทธกาล เคยมีผู้ทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า
ในบรรดาธรรมะมากมายที่ทรงแสดงไว้ ถ้าจะให้สรุปโดยย่อในประโยคเดียวได้ไหม
พระศาสดาทรงตรัสตอบว่า ได้ ใจความสำคัญในสิ่งที่ทรงสอนมา
สรุปเป็นประโยคเดียวว่า “สัพเพ ธัมมา นาลัง อภินิเวสายะ”
อันสิ่งทั้งหลายทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่น

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชโช ท่านเคยบอกว่า
ศาสตร์หรือความรู้ที่พระพุทธเจ้าทรงสอนนั้น
คือศาสตร์หรือความรู้ที่ทำให้เรายอมรับได้ว่า ทุกอย่างมันเป็นเรื่องธรรมดา
เกิด แก่ เจ็บ ตายก็ธรรมดา พลัดพรากจากสิ่งที่รัก เจอสิ่งที่ไม่รักก็ธรรมดา
ได้ลาภ ก็เสื่อมลาภ ได้ตำแหน่งยศศักดิ์ก็มีเสื่อมไป เป็นธรรมดา
มีคนสรรเสริญก็มีคนนินทา มีสุขก็มีทุกข์ เป็นธรรมดา
โลกนี้มีแต่ของที่เป็นธรรมดา โลกและธรรมะ จึงเป็นของคู่กันมาแต่ไหนแต่ไร

ผมอาจจะตอบไม่ได้ว่า ต้องไปทำอะไรแล้วจะมีความสุข แต่ตอบได้แน่ว่า
ผู้ที่มีความสุข ไม่ใช่ผู้ที่สามารถสั่งหรือบังคับให้โลกนี้เป็นได้อย่างใจ
หากแต่คือผู้ที่ยอมรับได้ว่า สิ่งทั้งหลายความจริงทั้งหลายที่เกิด
มันก็เป็นธรรมดาของมันอย่างนั้นเอง

เหตุที่ทำให้คนมีความทุกข์ ต่างจากเหตุของคนมีความสุขไม่มากหรอกครับ
พวกเขาคือคนที่เจอเรื่องเดียวกันกับพวกที่มีความสุข
แต่กลับยอมรับไม่ได้ และพยายามบังคับให้โลกนี้เป็นได้อย่างใจ
เมื่อผิดหวัง ก็ยอมรับไม่ได้ซ้อนลงไปอีกชั้น

ระยะห่างของความรู้สึกสุขทุกข์ อาจจะดูเหมือนห่างไกลกันมากมาย
แต่ในความจริง มันห่างกันแค่มีกำแพงที่ชื่อ “การยอมรับ” กั้นอยู่
แค่จิตยอมรับได้ว่า สิ่งทั้งหลายมันเป็นธรรมดาของมันแบบนั้นเอง

ถ้าเห็นความจริง รู้ความจริงบ่อยๆ ใจจะค่อยๆยอมรับเอง
ยอมรับได้ ก็วางเร็ว เพราะไม่เห็นความจำเป็นอะไรที่ต้องยึดไว้
เพราะไม่รู้จะยึดจะแบกอะไร ในเมื่อ ทุกๆอย่างในโลกมันเกิดขึ้นและดับไปเป็นธรรมดาทั้งนั้น

สุขสันต์วันที่เราเข้าใจแล้ว แต่จิตยังไม่เข้าใจนะครับ