Print

เพื่อนธรรมจารี - ฉบับที่ ๑๕๐

รอให้ถึงเวลานั้น ก็ไม่ทันแล้ว

ngod-ngamงดงาม
This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.



dharmajaree-150

เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ผมได้ไปตัดผมกับคุณอาช่างตัดผมอีกครั้งหนึ่ง
ซึ่งโดยปกติ ผมก็ไปตัดผมเฉลี่ยเดือนละ ๑ หนครับ
หากไปบ่อยกว่านี้ก็จะเสียเวลา และเกินความจำเป็น
แต่หากไปน้อยกว่านี้ ก็ไม่ได้ไปช่วยคุณอาเขา และผมก็จะยาวมากด้วย
ในอันที่จริงแล้ว ที่ว่าผมยาวมาก ยาวน้อย สั้นมาก หรือสั้นน้อยเหล่านี้
ก็เป็นเพียงความรู้สึกในใจที่เราปรุงแต่งขึ้นมาเอง และกำหนดตีค่ามันเอง

เมื่อปรุงแต่งโดยไปตีค่าว่าผมยาวหรือสั้นเกินไปแล้ว
สิ่งที่ตามมาก็คือ “ความอยาก” เห็นว่ามันควรจะสั้นกว่านี้ มันควรจะยาวกว่านี้
มันยังไม่พอดี ถ้ามันยาวหรือสั้นพอดีแล้ว มันจะดูดีกว่านี้ จะรู้สึกสุขหรือพอใจมากกว่านี้
ทั้งที่เรา “อยาก” เพื่อที่จะมี “ความสุข” มากขึ้น แต่ในความเป็นจริงแล้ว
สิ่งที่ตามหลังความอยากมาในทันทีทันใดก็คือ “ความทุกข์”
แต่ก็ไม่ได้แปลว่า เราไม่ต้องไปตัดผม แล้วก็ปล่อยให้ผมยาวไปเรื่อย ๆ นะครับ
โดยก็พึงต้องพิจารณาว่าทำอย่างไรแล้วจะเหมาะสมและเป็นประโยชน์ครับ
ต้องแยกระหว่าง “ทำสิ่งที่ควรทำ” กับ “ทำสิ่งที่อยากทำ” ครับ ไม่เหมือนกัน

คราวนี้เมื่อไปที่ร้านตัดผมของคุณอาแล้ว ก็พบว่า
ที่หน้าร้านตัดผมนั้นมีนกพิราบ ๕ – ๖ ตัวกำลังกินเศษข้าวสวยอยู่บนพื้น
คุณอากำลังฟังซีดีธรรมะของครูอาจารย์ท่านหนึ่งที่ผมได้นำไปให้
โดยมีผู้ชายสูงอายุอีก ๒ ท่านกำลังนั่งอยู่หน้าร้านด้วย
ผู้ชายสูงอายุท่านแรกกำลังนั่งดื่มเหล้าขาว โดยถือขวดเหล้าขาวอยู่
ผู้ชายสูงอายุอีกท่านหนึ่งนั่งเฉย ๆ โดยผมก็ไม่ทราบว่าเขากำลังทำอะไรเหมือนกัน
(แต่ก็นึกในใจว่าหากเขากำลังนั่งฟังธรรมะอยู่ ก็ขออนุโมทนาด้วย)
คุณอาเดินมารับพี่ชายและผมที่หน้าร้าน
พอเข้าไปในร้านแล้ว คุณอาก็ตัดผมให้แก่ผมก่อน โดยผมก็นั่งเงียบ ๆ

ที่นั่งเงียบ ๆ ก็เพราะเห็นว่า คุณอาได้เปิดฟังซีดีธรรมะของครูอาจารย์อยู่แล้ว
ผมจึงไม่มีความจำเป็นต้องคุยอะไรอีก โดยก็ย่อมได้ประโยชน์มากกว่าฟังผมอยู่แล้ว
และผมก็นั่งฟังซีดีของครูอาจารย์ไปด้วยเงียบ ๆ โดยก็ดูลมหายใจไป
คุณอาตัดผมไปได้สักครู่หนึ่ง เห็นผมเงียบ ๆ เขาก็เลยยื่นมือไปปิดเครื่องเล่นซีดี
พอคุณอาปิดเครื่องเล่นซีดีแล้ว ในร้านก็เงียบ ไม่ได้มีใครคุยอะไรกัน
ผมจึงเริ่มคุยธรรมะกับคุณอา โดยก็คุยว่า คุณอาเปิดฟังซีดีธรรมะเช่นนี้ดีมาก
เป็นประโยชน์เพื่อสร้างความรู้และเสริมสร้างปัญญาให้แก่คุณอาเอง
ทุกวัน ๆ เราควรจะถือศีล สวดมนต์ ทำสมาธิ เวลาหายใจก็พุทโธ ๆ ไปเรื่อย
และเมื่อมีเวลาก็มาเปิดซีดีธรรมะฟัง

คุณอาบอกว่า “เวลาพุทโธแล้วหลับได้เร็วจัง พุทโธไม่ถึง ๑๐ ครั้ง ก็หลับแล้ว”
ผมอธิบายว่านั่นแหละ เมื่อเราถือศีล เราสวดมนต์ และเราอยู่กับพุทโธแล้ว
ใจเราสงบ ใจเราสว่าง ใจเราสบาย ไม่ฟุ้งซ่าน ไม่ไปหลงกลุ้มในเรื่องอดีต
ไม่หลงไปกังวลเรื่องในอนาคต ไม่หลงไปเครียดเรื่องไม่เป็นเรื่อง
จิตใจที่มันสงบ สบาย และไม่คิดฟุ้งซ่าน ก็ย่อมจะสามารถหลับได้เร็ว
นอกจากนี้ หากเราสามารถพุทโธจนกระทั่งหลับไป เราพุทโธอยู่ตลอด
หากเราจะตายไปในคืนนั้นโดยที่เรากำลังพุทโธ เราก็ตายจากไปด้วยความสงบสว่าง
ตายจากไปโดยมีพุทโธในใจ เราย่อมจะได้ไปภพภูมิที่ดี

คนเราส่วนใหญ่ในโลกพยายามเก็บสะสมแต่สิ่งนอกกายที่ขนเอาไปไม่ได้
เก็บไว้เสียเยอะแยะมากมายเกินความจำเป็น แต่สิ่งที่จำเป็นนั้นกลับไม่ได้เก็บไป
ปล่อยตัวปล่อยใจให้กินอยู่ไปวัน ๆ โดยไม่ได้สร้างประโยชน์อะไรแท้จริงแก่ตน
ผมบอกคุณอาให้มองไปนอกร้านดูหมาแมวในซอยที่กำลังเดินผ่านหน้าร้าน
และมองดูนกพิราบที่กำลังกินเศษข้าวสวยอยู่หน้าร้าน
แล้วอธิบายต่อไปว่า ไม่ต่างอะไรกับหมาแมวที่เดินผ่านหน้าร้าน และนกพิราบเหล่านี้
มันกินอยู่ไปวันหนึ่ง ๆ ไม่ได้ทำอะไร กินอยู่ไปเพื่อรอให้ถึงวันตายของมันเท่านั้นเอง
คนเราหลาย ๆ คนเก็บสะสมแต่สิ่งที่ขนไปไม่ได้ ใช้ชีวิตอย่างหลงโลกไปวัน ๆ
เหมือนกับว่าจะอยู่ในโลกอย่างถาวร แล้วท้ายสุดแล้วทุกคนก็ต้องตายจากไป
ก็ไม่ต่างอะไรกับสัตว์เหล่านี้ที่กินอยู่ไปวัน ๆ แล้วก็ตายไป

แต่คนเราเองต่างกับสัตว์เหล่านี้ โดยคนเราสามารถพัฒนาจิตใจตนเองได้
ฉะนั้นหากเราไม่ประมาทแล้ว เราต้องพัฒนาจิตใจตนเอง
เราต้องไม่ปล่อยให้ชีวิตของเราผ่านไปอย่างหลง ๆ เหมือนชีวิตหมาแมวและนกพิราบนี้
ในเมื่อเราทุกคนจะต้องตายแน่ ๆ ในอนาคต เราต้องเตรียมตัวเองให้พร้อมเอาไว้
หากเราไม่เตรียมตัวเองให้พร้อม ก็เสมือนกับนักกีฬาที่ไม่ได้ฝึกซ้อม
พอถึงเวลาแข่งขันจริงแล้วก็ไม่สามารถแข่งขันได้ ก็ย่อมลำบาก
สมมุตินึกถึงกีฬามวย หากนักมวยไม่ได้ตั้งใจฝึกซ้อมเลย
พอถึงเวลาขึ้นชกจริง ๆ แล้วจะเป็นอย่างไร
เขาก็จะโดนฝ่ายตรงข้ามต่อยเอา ๆ โดยฝ่ายตรงข้ามไล่ต่อยจนพ่ายแพ้ไป
คุณอาช่างตัดผมก็บอกว่า “จริงครับ โดยต่อยเจ็บตัวครับ”

คุยมาถึงตรงนี้แล้ว ผู้ชายสูงอายุท่านแรกกำลังนั่งดื่มเหล้าขาวและนั่งเงียบมาตลอด
ก็หันหน้ามาถามผมว่า “กำลังคุยถึงมวยคู่ไหนครับ”
ผมได้ยินแล้วก็เงียบ เพราะไม่แน่ใจว่า เขากำลังพูดกับผมหรือพูดกับคุณอา
แต่ก็ถามเขาไปว่า “ว่าอะไรนะครับ”
ผู้ชายสูงอายุท่านแรกจึงถามผมซ้ำว่า
“ที่บอกว่านักมวยโดนซ้อมนั้น คุยถึงมวยคู่ไหนอยู่ครับ”
(ดูสีหน้าแล้ว เขาตั้งใจถามแบบอยากทราบจริง ๆ นะครับ
โดยไม่ได้เจตนาหาเรื่อง คือทำนองว่าถามนำเพราะอยากจะร่วมสนทนาด้วย)

ผมกล่าว “เอ่อ....” แล้วก็เงียบ โดยหยุดคิดว่าจะอธิบายเขาว่าอย่างไรดี
เพราะไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ไม่รู้ว่าเขาเป็นอย่างไร หากพูดพลาดไปก็เกรงว่าจะเป็นเรื่อง
คุณอาก็พูดกับผมแทรกขึ้นมาว่า ไม่ต้องไปสนใจหมอนี่หรอก
หมอนี่กินเหล้าแล้วก็กำลังเมา ปล่อยให้เขานั่งไปอย่างนั้นแหละ
(ผมเห็นอย่างนี้แล้ว ก็รู้สึกว่ามิจฉาทิฏฐินี้น่ากลัวมากนะครับ
คุยธรรมะให้ฟังมายาวพอควร แต่เขากลับฟังได้ว่าเป็นเรื่องนักมวยโดนต่อยเช่นนี้)

ผมจึงไม่ได้ตอบอะไรเขา แล้วก็เปลี่ยนตัวอย่างใหม่ โดยคุยกับคุณอาว่า
อย่างนักเรียนทุกคนไปโรงเรียนก็ต้องตั้งใจเรียนและเตรียมตัวสอบใช่ไหม
เพราะว่าท้ายสุดแล้ว นักเรียนก็ต้องสอบตอนปลายภาค
หากนักเรียนไม่สนใจเรียน ไม่ตั้งใจเรียน ถึงเวลาสอบ ก็จะลำบากใช่ไหม
ทำนองเดียวกัน ในขณะที่เราทุกคนล้วนต้องเจอความทุกข์ เจอความพลัดพราก
เจอความผิดหวัง เจอความเสียใจ เจอความสูญเสีย และต้องตายด้วยกันทุกคน
เราทุกคนจึงต้องสนใจศึกษาและฝึกหัดตนเองให้พร้อมที่จะเจอกับความทุกข์
ความพลัดพราก ความผิดหวัง ความเสียใจ ความสูญเสีย และความตายด้วย
ไม่เช่นนั้นแล้ว เมื่อถึงเวลาที่เราได้ประสบเจอสิ่งเหล่านี้ โดยที่เราไม่พร้อมแล้ว
เราเองก็จะลำบากมาก ทุกข์มาก เพราะไม่พร้อมที่จะรับสิ่งเหล่านี้

พูดมาถึงตรงนี้แล้ว ผู้ชายสูงอายุท่านที่นั่งดื่มเหล้าขาวก็บอกลาคุณอา
และเดินออกจากร้านตัดผมไป เหลือผู้ชายสูงอายุอีกท่านหนึ่งที่ยังนั่งอยู่เงียบ ๆ เช่นเดิม
ผมคุยต่อไปว่า นักกีฬาที่ไม่สนใจหัดฝึกซ้อมมาก่อนนั้น
หากจะมาหัดฝึกซ้อมในเวลาแข่งจริง ย่อมไม่ทันเสียแล้ว และทำไม่ได้ด้วย
อย่างเช่นนักมวยไม่หัดฝึกซ้อมชกก่อนเวลาขึ้นชกจริง
แต่บอกว่าค่อยไปหัดฝึกซ้อมในเวลาขึ้นชกจริง ๆ นั้นทำไม่ได้ มันไม่ทันแล้ว
จะโดนต่อยกระจาย เจ็บตัวหนักแน่นอน หรืออย่างนักเรียนไม่ตั้งใจเรียน ไม่สนใจเรียน
ไม่ฝึกหัดทำการบ้าน ไม่ฝึกหัดทำแบบฝึกหัด แล้วจะรอมาฝึกหัดทำในเวลาสอบจริงนั้น
ย่อมจะไม่ทันเสียแล้ว สายเกินไปเสียแล้ว และย่อมจะสอบไม่ผ่านแน่นอน

การที่คนเราทุกคนจะต้องพบกับความทุกข์ทั้งหลายและความตายก็เช่นกัน
เราต้องฝึกหัดเตรียมพร้อมให้แก่ตัวเองตั้งแต่วันนี้เวลานี้
เราจะมารอว่าเอาไว้ให้เราเจอความทุกข์ก่อน ให้เราเจอความตายก่อน
แล้วเราค่อยฝึกหัดในเวลานั้นว่าจะรับมือกับมันอย่างไร
เมื่อถึงเวลานั้นแล้ว มันไม่ทันการณ์แล้ว มันสายเกินไปแล้ว

ฉะนั้นเราต้องเตรียมความพร้อมสำหรับตัวเราเอง เราต้องพัฒนาจิตใจเราเอง
ศีล สมาธิ และปัญญาที่พัฒนาในใจเรานี้ สามารถรับมือความทุกข์และความตายได้
เมื่อความทุกข์ผ่านมา ใจเราไม่โดนความทุกข์เข้าครอบงำ ใจเราสงบไม่ฟุ้งซ่าน
เรารู้ว่าความทุกข์เป็นของชั่วคราว ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ความทุกข์ไม่อยู่กับเราไปตลอด
ลองนึกถึงความทุกข์ที่รุนแรงที่สุดในชีวิตเมื่อครั้งอดีต มันอยู่ไหนแล้วล่ะ มันหายไปนานแล้ว
ในอนาคตเราก็จะต้องเจอความทุกข์อีก มันก็จะหายไปอีกเช่นกัน
เมื่อความตายผ่านเข้ามา ใจเราไม่ได้หวั่นเกรง ยอมรับอย่างเต็มใจว่าทุกคนต้องตาย
ใจเรามีศีล มีสมาธิ มีปัญญา ใจเราสงบ ไม่ฟุ้งซ่าน เรานึกถึงศีลที่รักษาไว้ดีแล้ว
เรามีพุทโธในใจอย่างสม่ำเสมอ เราพร้อมที่จะตายไปโดยมีพุทโธอยู่ในใจ
หากทำได้เช่นนี้ เราจะไม่ไปภพภูมิที่ไม่ดี เราจะสามารถรับมือกับความตายนั้นได้

พูดมาถึงตรงนี้แล้ว ผู้ชายสูงอายุท่านที่สองซึ่งนั่งเงียบ ๆ และไม่ได้พูดอะไรมาโดยตลอด
ก็บอกลาคุณอา และเดินออกจากร้านตัดผมไป
หลังจากนั้น คุณอาก็เล่าให้ผมฟังว่าผู้ชายสูงอายุท่านที่นั่งดื่มเหล้าขาวนั้นโชคดี
เพราะว่าเขามีหลานคอยเลี้ยงคอยดูแล เขาไม่ต้องทำงานอะไร ก็มีเงินซื้อเหล้ากินได้
ผมถามว่า คุณอาดื่มเหล้าด้วยหรือเปล่า
คุณอาบอกว่าเลิกดื่มเหล้ามานานแล้ว และเดี๋ยวนี้ถือศีลด้วย ยิ่งไม่ได้อยากดื่มด้วยเลย
ผมก็บอกว่าดีแล้ว คุณอามีเวลาในแต่ละวัน ก็ฝึกหัดเตรียมความพร้อมไปอย่างนี้แหละ
โดยก็ถือศีล สวดมนต์ ทำสมาธิ และหายใจพร้อมพุทโธไปเรื่อย ๆ
มีเวลาเปิดฟังซีดีธรรมะได้ ก็เปิดฟังไป โดยก็ช่วยให้ความรู้และเพิ่มพูนปัญญาให้เรา
ส่วนผู้ชายสูงอายุท่านนั้นไม่ได้โชคดีหรอก เพราะว่ามีเงินแต่ว่าไปซื้อเหล้ามากินทำร้ายตัวเอง
หากไม่มีเงินไปซื้อเหล้า ก็ไม่ได้กินเหล้า ก็ไม่ผิดศีล สุขภาพกายและใจก็จะดีกว่านี้
แต่ว่าพอมีเงินแล้ว ก็ใช้เงินไปในทางที่ทำร้ายร่างกายและจิตใจตัวเอง ก็เป็นโทษ
เหมือนกับคนมีเงินไปซื้อบุหรี่มาสูบ แล้วทำให้ตนเองเป็นถุงลมโป่งพอง
หรือทำให้คนใกล้ชิดที่อยู่รอบข้างป่วยเป็นมะเร็งปอด ก็ทำนองเดียวกัน
หากไม่มีเงินไปซื้อบุหรี่มาสูบ ตนเองและคนรอบข้างก็ไม่ต้องเสียสุขภาพดังกล่าว

อย่างคุณอาเองไม่ได้มีเงินเหลืออะไร แต่มีเศษข้าวสวยทานเหลือ
ก็ยังสามารถทำทานช่วยเหลือนกพิราบได้ใช่ไหม ที่ได้ให้ข้าวสวยนกพิราบอยู่นี้
คุณอาตอบว่า “ใช่ครับ”
หากแม้ว่าคุณอาไม่มีเงินเหลืออยู่เลย ก็ยังรักษาศีลได้ สวดมนต์ได้ พุทโธได้
ไม่มีใครมาเก็บเงินค่าพุทโธกับเราใช่ไหม
มีบ้างไหม ที่ใครมาบอกเราว่า พุทโธเยอะไปแล้วนะ ให้จ่ายเงินค่าพุทโธมาด้วย มีไหม
คุณอาตอบว่า “ไม่มีครับ”
ฉะนั้นแล้วแม้ว่าเราจะมีน้อยกว่าเขา ไม่ได้แปลว่าเราทำประโยชน์ได้น้อยกว่าเขา
ในขณะที่เขามีมากกว่าเรา ไม่ได้แปลว่าเขาจะทำประโยชน์ได้มากกว่าเรา
คนมีมากกว่าอาจสร้างโทษมากกว่าก็ได้ และคนมีน้อยกว่าอาจจะสร้างประโยชน์มากกว่าก็ได้

จากนั้น คุณอาก็เล่าให้ผมฟังว่าเมื่อ ๒ – ๓ สัปดาห์ก่อน เขาได้ไปยกถังน้ำ
แล้วหลังเกิดป๊อกขึ้นมา วันที่ป๊อกยังไม่เท่าไร แต่วันถัดมา เขาก็ปวดหลังอย่างมาก
ต้องไปหาหมอเพื่อรับยามาทาน เข้าห้องน้ำก็ลำบาก โดยขณะนี้ก็ดีขึ้นพอสมควรแล้ว
ผมบอกว่า ร่างกายเขาสอนให้เราเห็นว่า
ร่างกายเรามีแต่จะแย่ลงเสื่อมลงไปเรื่อย ๆ เราจะช่วยตัวเองได้น้อยลงเรื่อย ๆ
ดังนั้น ขณะที่เรายังพอทำประโยชน์อะไรได้ในขณะนี้ เราต้องรีบทำเสียก่อน อย่าไปมัวรีรอ
ความเจ็บปวดเขามาเตือนให้เรารู้ว่าความตายใกล้เข้ามาแล้วนะ
เรามีเวลาเหลือน้อยลงทุกที ๆ แล้ว ในอนาคตความเจ็บปวดจะมากกว่านี้
และจะถึงความตายในที่สุด เราต้องเตรียมความพร้อมและจะต้องไม่ประมาท
คนส่วนใหญ่นั้นมัวแต่เตรียมพร้อมที่จะอยู่ แต่ไม่เตรียมพร้อมที่จะตาย ซึ่งถือว่าประมาท

เมื่อตัดผมเสร็จแล้ว จ่ายค่าตัดผมพร้อมให้เงินช่วยเหลือไว้จำนวนหนึ่งแล้ว
จากนั้น ผมก็บอกลาคุณอาว่า “ใช้เวลาที่เหลือนี้อย่างมีประโยชน์ที่สุดนะครับ อย่าประมาท”
(โดยผมก็รู้สึกว่า ไม่รู้เหมือนกันว่าคนพูดหรือคนฟังจะจากไปก่อนกัน เราก็ไม่ควรประมาทเช่นกัน)