Print

เพื่อนธรรมจารี - ฉบับที่ ๑๒๕

คุยกันเรื่องกรรม ตอนที่ ๒

ngod-ngamงดงาม
This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.



dharmajaree-125

(กลับมาคุยกันต่อในเรื่องคุยกันเรื่องกรรมนะครับ)
บางท่านอาจจะมองว่า ผมคุยอะไรอ้อมค้อมเสียเวลา โดยควรที่จะฟันธงโชะ ๆ เลยว่า
เหตุอย่างนั้นอย่างนี้เกิดจากกรรมเก่าอะไร และมีวิธีแก้กรรมได้อย่างไรบ้าง
ไม่ทราบว่าจะมัวคุยอะไรอื่น ๆ ให้ยืดยาว

ในเรื่องนี้ขออธิบายว่า ปัญหาชีวิตก็อาจเปรียบเสมือนกับอาการป่วยของโรค
หากแพทย์จะทำการรักษาโรคก็จะต้องพิจารณาอาการของโรคให้ละเอียดเสียก่อน
การที่แพทย์จะด่วนทำการรักษาหรือจ่ายยาไปโดยไม่ทันพิเคราะห์โรคให้ดี
ย่อมจะเป็นเรื่องอันตราย แทนที่จะเป็นการรักษา อาจจะเป็นการซ้ำเติมปัญหา
ยกตัวอย่างว่า ท่านมีอาการป่วยเป็นไข้หวัด นอนไม่หลับ และเหนื่อยมาก
เมื่อแพทย์พบท่านแล้วไม่ได้ถามไถ่อาการอะไร ไม่สนใจว่าท่านอาการหนักเบาแค่ไหน
แต่จับท่านเข้าห้องผ่าตัด และทำการผ่าตัดใหญ่เพื่อทำการรักษาทันที
เช่นนี้ยิ่งจะเป็นการซ้ำเติมปัญหาให้มากขึ้นกว่าเดิมเสียอีก
ในทำนองเดียวกัน จึงแนะนำว่าขอให้ท่านนั้นใจเย็น ๆ
แล้วเราก็ค่อย ๆ พิจารณาเรื่องราวของปัญหากันก่อนนะครับ

ในคราวก่อนเราได้คุยในประการแรกไปแล้วว่า
อย่าไปสะกดจิตตัวเองว่า ปัญหาเรื่องนี้สำคัญสุด ๆ หรือปัญหานี้ร้ายแรงเหลือเกิน
โดยไม่ควรให้น้ำหนักและความสำคัญแก่ปัญหาจนเกินจริง
ในที่นี้ จะขออธิบายประการแรกนี้เพิ่มเติมนะครับว่า
การให้ความสำคัญแก่ปัญหาจนเกินจริงนี้อาจเกิดจากการมองผลกระทบที่เกินจริงก็ได้

ยกตัวอย่างเช่น หญิงสาวคนหนึ่งมีปัญหาเรื่องแฟน โดยถูกแฟนบอกเลิก
หญิงสาวคนนั้นก็ครุ่นคิดสร้างความรู้สึกให้ตัวเองว่าเมื่อขาดแฟนคนนี้แล้ว
หรือแฟนคนนี้เลิกกับเราแล้ว เราก็จะไม่สามารถทนมีชีวิตอยู่ได้
หรือลูกจ้างคนหนึ่งกำลังจะโดนให้ออกจากงานที่ทำอยู่
ลูกจ้างคนนั้นก็ครุ่นคิดสร้างความรู้สึกให้ตัวเองว่าหากโดนให้ออกจากงานแล้ว
คงไม่สามารถหางานใหม่ได้ ลูกจะต้องออกจากโรงเรียน บ้านจะต้องโดนยึด
ชีวิตที่เหลืออยู่ก็จะตกระกำลำบาก และคงไม่มีความสุขได้อีกแล้ว
หรือนักเรียนคนหนึ่งสอบเข้าโรงเรียนหรือสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่ปรารถนาไม่ได้
ก็คิดว่าอนาคตคงจะไม่ดี ชีวิตที่เหลืออยู่คงจะไร้คุณค่าและหมดความหมาย
หรือผู้หญิงคนหนึ่งใช้เวลาในชีวิตหาแฟนมาเนิ่นนานแล้ว แต่หาแฟนไม่ได้เสียที
ก็คิดว่าอนาคตคนโสดน่าจะไม่ดี ชีวิตที่เหลืออยู่คงจะไม่มีความสุข เป็นต้น

เมื่อมองผลกระทบของเรื่องราวในปัญหาชีวิตที่เกินจริง
ก็ย่อมจะทำให้จิตใจทุกข์ระทมในเรื่องนั้นมากยิ่งขึ้น
และย่อมจะทำให้การพิจารณาแก้ไขปัญหานั้นรวนตามไปด้วย
ดังเช่นกรณีที่ว่า หญิงสาวโดนแฟนบอกเลิกแล้วบอกว่าทำให้ตนเองไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้
หากไปมองผลกระทบถึงขนาดนั้นแล้ว ก็ทำให้แก้ไขปัญหาผิด ๆ โดยคิดสั้นฆ่าตัวตายก็มี
แต่หากเธอคนนั้นได้มองผลกระทบตามจริงแล้ว ย่อมจะเลือกทางแก้ไขปัญหาได้ดีกว่านั้น
สมมุติว่าแฟนคนดังกล่าวประสบอุบัติเหตุถึงแก่ความตาย หรือเกิดป่วยตายแบบฉับพลัน
ถามว่าความรู้สึกเสียใจของเธอคนดังกล่าวจะแตกต่างกันไหม และเธอจะมีชีวิตต่อไปได้ไหม
หากเธอบอกว่าความรู้สึกต่างกัน และเธอสามารถมีชีวิตต่อไปได้แล้ว
ที่มองว่าโดนแฟนบอกเลิกแล้วจะทำให้ไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้นั้น ย่อมไม่ใช่เช่นนั้นจริง
แต่เป็นเพียงความรู้สึกในใจที่มาหลอกตนเองเท่านั้น

สมมุติว่าหญิงสาวคนนั้นเดินทางไปต่างประเทศ และต้องห่างจากแฟนหลายวัน
ในวันแรกที่ทั้งสองคนห่างกันนั้น แฟนของหญิงสาวคนนั้นได้ไปแต่งงานกับหญิงอื่น
หรือประสบอุบัติเหตุตาย หรือเจ็บป่วยตายในวันนั้นเลย แต่หญิงสาวไม่ทราบ
หญิงสาวคนนั้นมาทราบเรื่องในเวลาอีกหลายวันเมื่อเดินทางกลับมาถึงประเทศไทยแล้ว
หากบอกว่าหญิงสาวคนนั้นไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้โดยขาดแฟนคนนั้น
ถามว่าตลอดเวลาที่หญิงสาวคนนั้นไม่ทราบเรื่องแฟนดังกล่าวเลย
หญิงสาวคนนั้นมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร และทำไมจึงไม่คิดสั้นฆ่าตัวตายล่ะ
แต่ที่รู้สึกว่าไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้นั้น เริ่มเกิดขึ้นภายหลังเมื่อมาทราบเรื่องแฟน
หลังจากนั้นความรู้สึกในใจก็ปรุงแต่งไปเรื่อย ๆ หลอกตนเองไปเรื่อย ๆ
หากชีวิตของเธอจะต้องมีแฟนคนนี้จริง ๆ แล้ว ถามว่าก่อนที่เธอจะมาพบแฟนคนนี้
เธอมีชีวิตอยู่และเติบโตมาได้อย่างไร โดยไม่ได้พบและมีแฟนคนนี้มาก่อนเลย

กรณีอื่น ๆ ก็ทำนองเดียวกันนะครับว่าผลกระทบอาจจะไม่ได้ร้ายแรงขนาดนั้น
แต่เป็นความรู้สึกของใจเราเองที่หลอกตัวเองว่าผลกระทบร้ายแรง
ซึ่งเมื่อเราหวาดหวั่นกับผลกระทบจนเกินจริงมากเกินไป
ย่อมทำให้เราตัดสินใจเลือกทางแก้ไขปัญหาที่ผิดพลาดตามไปด้วย

บางทีเรามองว่าสิ่งที่เราประสบนี้เลวร้ายมาก ร้ายแรงที่สุด
แต่หากจะมองให้ดี ๆ แล้ว ย่อมจะมีสิ่งที่เลวร้ายกว่าอยู่เสมอ
สมมุติว่า เราไปตรวจร่างกายและพบว่าเป็นโรคมะเร็งระยะแรก
เราอาจจะคิดว่าเลวร้ายมากเลย แต่ก็ยังดีกว่าเป็นโรคมะเร็งระยะสุดท้าย
เป็นโรคมะเร็งระยะสุดท้าย ก็ยังทำอะไรได้บ้าง ก็ยังดีกว่าตายไปในทันที
สมมุติว่า เราเจอโจรปล้น หรือโดนขโมยขึ้นบ้านขนทรัพย์สินไปมากมาย
แต่ก็ยังดีกว่าโดนไฟไหม้บ้านที่นอกจากทรัพย์สินแล้ว ตัวบ้านก็สูญไปด้วย
แม้ว่าจะโดนไฟไหม้บ้าน ก็ยังถือว่าดีที่เราเองรอดชีวิตมาได้ หรือไม่บาดเจ็บด้วย
สมมุติว่า เรามีฐานะยากจนอยู่อย่างลำบาก แถมตกงาน และไม่มีเงิน
แต่เราก็ยังมีความสามารถทำงานได้ มีอวัยวะในร่างกายครบถ้วน ยังหางานทำได้
ตกงาน ก็ยังดีกว่าเป็นอัมพาตขยับตัวไม่ได้ และก็ยังดีกว่าเป็นคนปัญญาอ่อน เป็นต้น

ประการที่สอง คือ ยอมรับความจริงว่าผลกระทบที่เรามองอยู่นั้นเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน
กล่าวคืออาจจะไม่เกิดขึ้นจริง หรืออาจจะเกิดขึ้นในเวลาใดที่เราไม่ทราบได้
โดยสิ่งที่เกิดขึ้นนั้น บางทีเราก็จะไม่ทราบหรอกว่ามันดีหรือไม่ดีกันแน่
ที่เรามองว่าไม่ดี ก็อาจจะดีก็ได้ แต่ที่เรามองว่าดี ก็อาจจะไม่ดีก็ได้

มีอยู่คราวหนึ่งที่ผมได้คุยกับคนขับแท็กซี่ท่านหนึ่งนะครับ
เขาเล่าเรื่องชีวิตเขาให้ฟังว่า เขาพาแฟนหนีจากบ้านที่ต่างจังหวัดเข้ามาอยู่กรุงเทพฯ
เนื่องเพราะแม่ของแฟนพยายามจะบังคับให้แฟนของเขาแต่งงานกับเศรษฐีคนหนึ่ง
ซึ่งเป็นเจ้าของโรงงานแห่งหนึ่งในอำเภอ แต่ว่าแฟนของเขาได้ชอบพอกับเขาอยู่
เมื่อไม่มีทางเกลี้ยกล่อมคุณแม่แฟนได้
เขาและแฟนจึงพากันหนีจากบ้านเข้ามาหางานทำในกรุงเทพฯ
โดยเขาทำงานขับรถแท็กซี่ และแฟนทำงานรับจ้างที่ร้านค้าแห่งหนึ่ง
เวลาผ่านไปหลายปี ทั้งสองคนแต่งงานและมีลูกด้วยกัน และพอมีฐานะบ้างแล้ว
ก็ซื้อของและเตรียมเงินกลับไปให้คุณแม่แฟนที่บ้านที่ต่างจังหวัด
โดยหลายปีที่ผ่านมา แฟนไม่เคยติดต่อกลับไปหาคุณแม่เลย

พอเขาและแฟนกลับไปถึงที่บ้านแม่แฟน ปรากฏว่าแม่แฟนเห็นหน้าแฟนแล้ว
แทนที่จะโกรธ ก็เข้ามาร้องไห้กอดแฟน
และขอโทษแฟนที่ได้บังคับให้ไปแต่งงานกับเศรษฐีเจ้าของโรงงานนั้น
แถมยังบอกว่าดีแล้วที่แฟนหนีจากบ้านตามเขาไป
แม่แฟนเล่าให้ฟังต่อไปว่า หลังจากที่เขาพาแฟนหนีไปจากบ้านแล้ว
เศรษฐีเจ้าของโรงงานก็ไปแต่งงานกับหญิงสาวอีกคนหนึ่ง
และรับพ่อแม่ของหญิงสาวคนนั้นไปอยู่ที่บ้านด้วยกัน ซึ่งเรื่องราวก็ดูน่าจะมีความสุข
แต่ปรากฏว่าสามหรือสี่ปีต่อมา กิจการโรงงานประสบปัญหาหนักขาดทุน
เศรษฐีเจ้าของโรงงานเป็นหนี้เยอะและเครียดมาก จึงตัดสินใจเอาปืนยิงภรรยาและลูก
และคนอื่นในครอบครัว (รวมทั้งพ่อแม่ภรรยาที่รับไปอยู่ด้วยกันนั้น) ตายทั้งหมด
จากนั้นก็ยิงตัวตายตาม ... แม่แฟนจึงบอกว่าหากแฟนได้แต่งงานกับเศรษฐีคนนั้น
ป่านนี้แม่แฟนก็คงตายไปด้วยแล้ว จึงนึกดีใจที่ว่าเขาและแฟนได้หนีจากไปก่อน

จะเห็นได้ว่าเรื่องราวมันไม่แน่นอนหรอกนะครับ ที่คิดว่าจะดี อาจจะไม่ดีก็ได้
แต่ที่คิดว่าจะไม่ดี จะแย่หนัก จะร้ายแรง แต่แท้จริงแล้วก็อาจจะดีก็ได้นะครับ
แต่ทั้งนี้ผมไม่แนะนำให้ใครพาแฟนหนี หรือแนะนำให้ใครหนีตามกันนะครับ
เพราะก็ไม่ได้แน่นอนว่าหนีตามกันแล้วชีวิตจะต้องดีเสมอไป
ประเภทว่าหนีออกจากบ้าน หรือหนีตามกันแล้วชีวิตประสบเคราะห์กรรมหนักก็มีเยอะ
หรือหนีตามกันแล้ว ท้ายสุดมาทะเลาะกันและเลิกกันก็มีอยู่มาก
ประเภทว่าแต่งงานกันไปแล้วมีลูก แล้วก็เลิกกัน
แล้วก็ต้องส่งลูกตนเองไปให้พ่อแม่ตนเองช่วยเลี้ยงให้ก็มีไม่น้อย

บางคนอยากจะได้กระเป๋าแพง ๆ มาถือ โดยรู้สึกเสียใจที่ตนเองไม่ได้กระเป๋าแพง ๆ นั้น
แต่จริง ๆ แล้วหากได้กระเป๋าแพง ๆ มาถือ อาจจะโดนโจรปล้น และทำร้ายร่างกาย
นอกจากเสียทรัพย์สิน และเสียกระเป๋าแล้ว ยังอาจจะต้องเสียโฉมเสียอีกด้วย
บางคนอยากจะมีแฟน โดยบอกว่ามีแฟนแล้วจะดี มีแฟนแล้วจะมีความสุข
ลองถามตัวเองนะครับว่า ไม่เคยเห็นคนที่มีความทุกข์เพราะแฟนเลยหรือ
คนที่มีความทุกข์เพราะแฟนนอกใจ เพราะแฟนทำเลวทำไม่ดี หรือเพราะแฟนบอกเลิก
ก็มีอยู่มากมายทั่วไป (แต่คนที่เขามีแฟนแล้วมีความสุขกับแฟน ก็มีอยู่มากมายเหมือนกัน)
แล้วเราจะแน่ใจได้อย่างไรว่าเรามีแฟนแล้วจะดีและมีความสุข

มีสามีภรรยาคู่หนึ่งนะครับแต่งงานกันโดยจัดงานเลี้ยงใหญ่โต
โดยได้ไปดูฤกษ์ยามแต่งงานที่ดีมาก แถมยังลงทุนซื้อบ้านราคาแพงอยู่ด้วยกัน
แต่พอแต่งกันไปแล้ว ก็ทะเลาะกัน มีทำร้ายร่างกายกัน ต้องขึ้นโรงพักแจ้งความกัน
ท้ายสุดก็เลิกรากันไปในเวลาเพียงไม่กี่ปี ก็ยังมี (เรื่องทำนองนี้ในชีวิตจริงมีเยอะครับ)
ในทางกลับกันที่มอง ๆ ว่าน่าจะเลิกกัน แต่กลับอยู่ด้วยกันยืดยาว ก็มี
เพราะฉะนั้นแล้ว มันไม่แน่นอนหรอกครับ โดยก็ขึ้นกับปัจจัยหลาย ๆ อย่าง

ประการที่สาม คือ ควรมองปัญหาในด้านดีบ้าง หรือมองข้อดีอื่น ๆ บ้าง
ไม่ควรมองแต่เพียงในด้านลบ หรือข้อเสียเท่านั้น
ยกตัวอย่างว่าเราทำงานหนักอดหลับอดนอนจนเจ็บป่วยเป็นไข้หวัด
ทำให้ต้องลาป่วยนอนซมอยู่บ้าน ซึ่งบางท่านอาจจะชอบและดีใจนะครับที่ได้ลาป่วย
แต่บางท่านอาจจะมีงานด่วนที่ต้องทำ หรือมีนัดลูกค้าสำคัญ ทำให้การงานเสียหาย
หากจะมองแต่ด้านลบ และข้อเสียของการที่ต้องลาป่วย และเสียงานเสียการ
ก็เท่ากับว่าเป็นการมองปัญหาเพียงด้านเดียว และไม่ได้ประโยชน์เท่าที่ควร
เราอาจจะมองในด้านดีด้วยว่า ดีแล้วที่ป่วยเป็นไข้หวัดและลาป่วย
ยังจะดีกว่าไปทำงานทั้งที่ป่วย ดีไม่ดีอาจจะเดินข้ามถนน หรือขึ้นลงรถแล้วมึน ๆ
ซึ่งจะเสี่ยงทำให้เกิดอุบัติเหตุที่รุนแรง หรือถึงกับเสียชีวิตก็ได้
การที่ลาป่วยอยู่บ้าน ก็เป็นการป้องกันไม่ให้เราไปแพร่ไข้หวัดไปติดเพื่อนร่วมงาน
(ซึ่งหากติดไปยังเพื่อนร่วมงานแล้ว ก็อาจจะทำให้ติดไปยังคนในครอบครัวของเขาด้วย)

สำหรับบางคนนั้น เมื่อเจ็บป่วยแล้วก็กลับมาได้ข้อคิดกับชีวิตตนเองว่า
ไม่ควรประมาทในชีวิต เพราะร่างกายนี้ไม่เที่ยง จะตายเมื่อไร ก็ไม่ทราบได้
หรืออาจจะมองว่าร่างกายนี้เจ็บป่วยอยู่ตลอด เป็นทุกข์ และไม่ควรยึดมั่นถือมั่น
หรืออาจจะมองว่าร่างกายนี้ไม่ใช่ตัวตนของเรา ควบคุมไม่ได้ ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น
หรืออาจจะมองว่าความเจ็บป่วยมาตักเตือนให้เรารู้จักรักษาสุขภาพอันย่อมจะช่วย
ให้เราไม่ต้องป่วยหนักร้ายแรงกว่านี้ในอนาคต หากเราไม่เคยป่วยตรงนี้มาก่อน
และใช้ร่างกายอย่างหนักหน่วงไปเรื่อย ๆ แล้วอาจจะป่วยเป็นโรคร้ายแรงกว่านี้ก็ได้

บางคนพอเจ็บป่วยหนัก หรือมีเรื่องทุกข์ใจอย่างรุนแรงแล้ว
ไม่มีทางแก้ไขอื่น ไม่มีทางหลบเลี่ยงอย่างไรได้ ก็ทำให้หันมาศึกษาธรรมะ
ซึ่งพอได้ศึกษาธรรมะแล้ว ก็ได้ประโยชน์จากธรรมะมากมายจนถึงกับ
ดีใจที่ตนเองได้เจ็บป่วยหนัก หรือต้องประสบเรื่องทุกข์ใจรุนแรงนี้
เพราะทำให้ได้เข้ามาศึกษาธรรมะ หากไม่เช่นนั้นแล้ว ก็คงปล่อยตัวปล่อยใจปล่อยชีวิต
ให้ไหลตามกระแสโลกไปวัน ๆ แล้วก็ตายกันไป โดยไม่ได้มีโอกาสมาศึกษาธรรมะเลย

บางท่านอาจจะเคยได้อ่านเรื่องราวของโทมัส อัลวา เอดิสันกันมาบ้างนะครับ
เอดิสันเป็นผู้ที่ทดลองหาทางทำให้อายุหลอดไฟฟ้ายาวนานพอที่จะนำไปใช้งานจริงได้
เอดิสันได้ทดลองไส้หลอดไฟฟ้าด้วยวิธีการมากมาย โดยได้ล้มเหลวนับพันนับหมื่นวิธี
แต่เขาเองก็ไม่ได้ล้มเลิก เพราะมองในแง่ดีว่า เขาได้รู้วิธีการที่ไม่สำเร็จตั้งมากมาย
และทำให้เขาเข้าใกล้กับวิธีการที่จะทำสำเร็จมากขึ้น จนในที่สุดเขาได้ประสบความสำเร็จ
เอดิสันได้เปรียบการทดลองของเขาเสมือนกรณีลูกไก่ข้ามถนน
โดยแม้ลูกไก่จะข้ามถนนไม่สำเร็จในความพยายามหนึ่งพันครั้ง
ก็ไม่ได้หมายความว่ามันล้มเหลวโดยสิ้นเชิงในความพยายามแต่ละครั้ง
แต่หมายความว่า ลูกไก่ได้เรียนรู้วิธีที่จะข้ามถนนไม่สำเร็จ ตั้งหนึ่งพันวิธี
ในแต่ละครั้งที่ข้ามถนนไม่สำเร็จหนึ่งครั้ง ลูกไก่จะได้เรียนรู้วิธีการที่ไม่สำเร็จเพิ่มหนึ่งวิธี
(ทำให้ลูกไก่จะไม่ต้องไปเสียเวลาทดลองในวิธีการเหล่านั้นอีกในอนาคต)
และในวิธีการที่หนึ่งพันหนึ่ง หรือหนึ่งพันสอง ลูกไก่อาจจะทำสำเร็จก็ได้
ฉะนั้นแล้ว เราควรที่จะมองในด้านดี และข้อดีของปัญหาที่ได้พบด้วยครับ
(ขอยกไปคุยต่อในตอนหน้านะครับ)